วันอังคารที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ฟันธง ปีหน้าเบี้ยรถจยย.โต 10%

บริษัทกลางฯ ยอมรับ ปีนี้กำไรกว่า 50 ล้านบาท เหตุขาย พ.ร.บ.รถจักรยานยนต์ได้เยอะ คุมสินไหมอยู่หมัด เหลือแค่ 88% ต่ำกว่าตลาดที่มีอัตราสูงถึง 96% “สมพร” ย้ำชงไอเดียลดเงินสมทบ ที่บริษัทวินาศภัยต้องจ่ายให้บริษัทกลางฯ 2.25% ของเบี้ย พ.ร.บ.ในแต่ละปี เพื่อลดภาระผู้ถือหุ้น แต่กรมฯ ติดเบรคหวั่นมีปัญหา ส่วนกรณีวินาศภัยจ้องเลิกจ่ายเงินสมทบ มั่นใจบริษัทกลางฯ ไม่เคยทำธุรกิจเสียหาย แถมช่วยส่วนรวม โดยเฉพาะโครงการลดอุบัติเหตุ ทำให้วินาศภัยจ่ายสินไหมน้อยลง คาดปีหน้าเบี้ย จยย.เพิ่มอีก 10-15% แตะ 1,200 ล้านบาท เหตุบริษัทอื่นไม่ขายเพราะขาดทุน เสนอตัวทำเคลม พ.ร.บ.ให้วินาศภัย กินค่าธรรมเนียม 300 บาท/เคลม

นายสมพร สืบถวิลกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด เปิดเผย "สยามธุรกิจ" ว่า สิ้นปีนี้ บริษัทจะมีรายได้หรือกำไรที่หักค่าใช้จ่ายแล้วมากกว่ารายจ่าย ประมาณ 50 ล้านบาท มาจาก

1. เงินสมทบจากบริษัทประกันวินาศภัย อัตราปีละ 2.25% ของเบี้ยประกันภัยรถตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 หรือประกันภัยภาคบังคับ ประมาณ 150-160 ล้านบาทต่อปี 2. การรับประกันภัยรถจักรยานยนต์ มีเบี้ยประมาณ 1,000 ล้านบาท หักรายจ่ายจากอัตราค่าสินไหมทดแทน (Loss Ratio) อยู่ที่ 88% ต่ำกว่าตลาดที่สูงถึง 96% และค่าใช้จ่ายอื่นๆ จะมีกำไรกว่า 30 ล้านบาท
3. ขายประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (พีเอ) เอื้ออาทร และค่าธรรมเนียมจากการรับจ้างจัดการเคลมให้กับบริษัทอื่นๆ อัตรา 300 บาท/เคลม รวมกำไร 2 ส่วนนี้ 10 ล้านบาท

อย่างไรก็ดี รายรับ 50 ล้านบาทข้างต้น ต่ำกว่ารายรับในปี 2548 ที่มียอดอยู่ที่ 60 ล้านบาท เนื่องจากในปีนั้นได้คอมมิสชั่นจากกองกลางรับประกันภัยรถจักรยานยนต์ (CMIP) อยู่ที่ 12% แต่บริษัทกลางฯ จ่ายค่าคอมมิสชั่นในการขายประกันรถจักรยานยนต์ให้กับตัวแทน ในอัตราเพียง 10% เท่านั้น จึงมีส่วนต่าง 2% แต่เมื่อ CMIP ถูกยุบไป เนื่องจากมีหลายบริษัทถอนตัวออกไปขายประกันรถจักรยานยนต์เอง เพราะเริ่มเห็นกำไรทำให้รายได้ในส่วนนี้หายไป

"เท่าที่ทราบหลายบริษัทที่ถอนตัวอออกไป และตั้งใจจะขายประกันรถจักรยานยนต์เองก็ไม่ได้ขาย และไม่สนใจจะขายด้วย เพราะคุม Loss Ratio ไม่ได้ อีกทั้งเบี้ยรถจักรยานยนต์ต่ำมาก แค่คันละ 300 บาท ไม่คุ้มเมื่อเทียบกับเบี้ยรถยนต์คันละเป็นหมื่นบาท ดังนั้น หลายบริษัทจึงทยอยเลิก ผลจากการที่หลายบริษัททยอยเลิก จึงทำให้รถจักรยานยนต์ไหลมาอยู่ที่บริษัทกลางฯ มากขึ้น เบี้ยเพิ่มขึ้นถึง 10-12% เพราะไม่มีคู่แข่ง โดยการขายรถจักรยานยนต์ ถ้าไม่คุมสินไหมดีๆ ขาดทุนทันที ส่วนหนึ่งเพราะค่ารักษาพยาบาลเพิ่มขึ้นทุกปี จากเดิมค่ารักษาพยาบาลเฉลี่ยอยู่ที่ 6,000 บาท/คน ขยับมาอยู่ที่ 9,000 บาท/คน เพิ่มขึ้น 15% ต่อปี และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีก"

นายสมพร กล่าวว่า จากรายรับที่มากกว่ารายจ่ายถึง 50 กว่าล้านบาท ทางบริษัทกลางฯ มีแนวคิดที่จะลดการพึ่งพา หรือลดเงินสมทมที่ผู้ถือหุ้น หรือบริษัทประกันวินาศภัยต้องจ่ายให้ในอัตรา 2.25% ต่อปี หรือประมาณ 150-160 ล้านบาท โดยอาจจะอาจจะปรับลดลงเหลือแค่ปีละ 100 ล้านบาท เพื่อช่วยลดภาระของผู้ถือหุ้น และให้การจัดเก็บเงินสมทบเหมาะสมกับค่าใช้จ่ายจริงที่ลดลงจากในอดีต แต่ไม่ใช่ให้เลิกรับ หรือบริษัทประกันภัยวินาศภัยจะเลิกจ่ายเงินสมทบให้บริษัทกลางฯ เพราะหากทำเช่นนั้น บริษัทกลางฯ คงอยู่ไม่ได้ เนื่องจากเงินสมทบยังถือเป็นรายได้หลักอยู่ โดยเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ทางคณะกรรมการบริหาร บริษัทกลางฯ หรือ (บอร์ด) ได้เสนอขอลดอัตราเงินสมทบไปที่กรมการประกันภัยแล้ว

แต่ทางกรมการประกันภัยคัดค้าน เห็นว่ายังไม่สมควรที่จะลดเงินสมทบในตอนนี้ โดยให้เหตุผลว่า แม้บริษัทกลางฯ จะมีกำไร แต่เคยขาดทุนจำนวนมาก โดยยอดขาดทุนสะสมจากประกันภัยรถจักรยานยนต์ในรอบ 4 ปี คือ ตั้งแต่ปี 2542-2545 อยู่ที่ 80 กว่าล้านบาท ก่อนที่จะเริ่มมีกำไร ดังนั้น ควรที่จะเก็บเงินสมทบในอัตราเดิมไปก่อนเพื่อสะสมไว้ โดยเรื่องนี้อยู่ในขั้นตอนเสนอบอร์ดและกรมการประกันภัยเท่านั้น ยังไม่ได้นำเสนอกับทางผู้ถือหุ้น ซึ่งคาดว่าจะเสนอในการประชุมผู้ถือหุ้นในเดือนมีนาคมปีหน้า แต่มาเกิดเรื่องกรณีบริษัทประกันวินาศภัยมีแนวคิดให้ยกเลิกการจ่ายเงินสมทบเข้าบริษัทกลางฯ เสียก่อน

อย่างไรก็ดี นายสมพรกล่าวว่า บริษัทกลางฯ ไม่ได้เตรียมรับมือ หากผู้ถือหุ้นจะเลิกจ่ายเงินสมทบ เพราะมั่นใจว่า ตั้งแต่เปิดบริษัทกลางฯ ขึ้นมาไม่ได้ทำให้ธุรกิจเสียหาย ตรงข้ามกลับช่วยธุรกิจให้ดีขึ้น โดยเฉพาะการเข้าไปรับประกันภัยรถจักรยานยนต์ที่บริษัทอื่นไม่อยากรับ จากเดิมที่มี Loss Ratio สูงถึง 140% เมื่อบริษัทกลางฯ รับประกัน บริหาร Loss Ratio ลงเหลือ 108% ก่อนจะลดลงเหลือแค่ 92% ในช่วงปรับเบี้ยเป็น 300 ล้านบาท เมื่อ 3 ปีก่อน และลดลงเหลือ 88% ในปัจจุบัน จนทำให้บริษัทกลางฯ เริ่มมีกำไร อีกทั้งยังส่งเสริมภาพลักษณ์ธุรกิจ อาทิ การรณรงค์ป้องกันอุบัติภัยบนท้องถนน ทำให้อุบัติเหตุลดลง บริษัทประกันภัยจ่ายสินไหมน้อยลง เป็นต้น

ต่อข้อถามถึงการคุมต้นทุนด้านค่ารักษาพยาบาลที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง นายสมพรกล่าวว่า นอกจากคุมให้มีการจ่ายตามความบาดเจ็บที่เกิดขึ้นจริง จุดไหนที่เป็นการรักษาที่ไม่เกี่ยวข้องกับการบาดเจ็บจะไม่จ่ายแล้ว ยังมีระบบอี-เคลมที่เริ่มนำมาใช้เมื่อปลายปีที่ผ่านมา คือ ทันทีที่โรงพยาบาลรับผู้ประสบภัยจากรถเข้ารักษา จะแจ้งข้อมูลผ่านระบบอี-เมลเข้ามาที่บริษัทกลางฯ เพื่อให้ตรวจสอบข้อมูลผู้ประสบภัยมีประกันภัย พ.ร.บ.จริงหรือไม่ หากมีบริษัทกลางฯ รับเป็นเจ้าของไข้ โรงพยาบาลดำเนินการรักษาและตั้งเบิกค่ารักษาได้ทันที ลดการฉ้อฉลเกี่ยวกับเบิกค่ารักษาพยาบาลลงได้ประมาณ 5-10% ขณะที่โรงพยาบาลได้รับค่ารักษาพยาบาลอย่างรวดเร็ว ซึ่งการบริหารจัดการต้นทุนด้านค่ารักษาพยาบาลที่มีประสิทธิภาพ จะทำให้ Loss Ratio ในปีหน้า เพิ่มขึ้นเพียง 2% เท่านั้น จากที่ควรจะเพิ่มขึ้น 10-15% ตามต้นทุนค่ารักษา

ทั้งนี้ ในปีหน้าตนมีนโยบายที่จะเพิ่มโรงพยาบาลทั้งรัฐและเอกชน เข้าสู่ระบบอี-เคลมเป็น 900 แห่ง ในปีหน้า จากปัจจุบันมีอยู่ 200 แห่งทั่วประเทศ รวมถึงเสนอตัวขอทำเคลมประกันภัย พ.ร.บ.ให้กับบริษัทอื่น เพื่อหารายได้จากค่าจัดการเคลม ซึ่งปัจจุบันอัตราการเคลม พ.ร.บ.อยู่ที่ 4-500,000 เคลมต่อปี เป็นเคลมของบริษัทกลางฯ ประมาณแสนเคลม หากบริษัทอื่นให้บริษัทกลางฯ เข้าไปช่วยจัดการเคลมอีก 3-400,000 เคลม ที่เหลือจะช่วยประหยัดต้นทุนในส่วนค่าเซอร์เวเยอร์ได้มาก ซึ่งขณะนี้บริษัทมีค่าใช้จ่ายด้านเซอร์เวเยอร์ 700 บาท/ครั้ง ขณะที่ค่าจัดการเคลมของบริษัทกลางฯ อยู่ที่ 300 บาท/ครั้ง โดยได้เริ่มขายไอเดียไปบ้างแล้ว บริษัทส่วนใหญ่เห็นด้วย

สำหรับเป้าหมายเบี้ยประกันภัยรถจักรยานยนต์ในปีหน้า ตั้งเป้าเพิ่มขึ้น 10-15% คิดเป็นเบี้ยประมาณ 1,100-1,200 ล้านบาท ไม่มีนโยบายขายแข่งกับบริษัทแม่ วัดจากการจ่ายค่าคอมมิสชั่น บริษัทกลางฯ จ่ายให้ตัวแทน 10 บาท บริษัทอื่นจ่าย 20 บาท โดยมีตัวแทน 2,800 คน ซึ่งเบี้ยที่เพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากบริษัทอื่นไม่ขายงาน จะไหลมาอยู่ที่บริษัทกลางฯ อีกส่วนหนึ่ง การที่ภาครัฐได้ยกเลิกกติกาเบิกเครื่องหมายประกันภัย พ.ร.บ.(สติกเกอร์) จากเดิมกำหนดสัดส่วนการเบิกสติกเกอร์ 1:4 คือ เบิกรถยนต์ 1 คัน ต้องเบิกสติกเกอร์รถจักรยานยนต์ 4 คัน แต่เมื่อเลิกกฎนี้ไปทำให้ไม่มีข้อผูกมัด ซึ่งการที่บริษัทประกันภัยหลายแห่งไม่ขายประกันรถจักรยานยนต์ เริ่มมีประชาชนในหลายจังหวัดร้องเรียนไปที่สำนักงานประกันภัยจังหวัด หาซื้อประกันภัยรถจักรยานยนต์ไม่ได้ แม้บริษัทกลางฯ จะขายอยู่ แต่ไม่ได้มีสาขามากเหมือนบริษัทอื่น

เพิ่มเติม http://www.siamturakij.com

ตลาดมอเตอร์ไซค์มะกาหัวทิ่ม ยักษ์ "ฮาร์เลย์" ทุ่มลงทุนอินเดีย

ในขณะที่ตลาดรถยนต์มะกาเริ่มขยับตัว ตามด้วยตลาดบ้านเริ่มหายงัวเงียโซเซสะบัดแข้งขา แต่ยังไม่ถึงขนาดเตะลมชกลมได้ กระนั้น ก็ย่อมเป็นสัญลักษณ์ดี แม้จะเป็นแสงริบหรี่สุดขอบฟ้าก็ยังดีกว่ามืดสนิท คลำทางไม่ถูก

น่าแปลกใจอย่างมากก็คือ ตลาดมอเตอร์ไซค์ที่จมดิ่งลงไปเรื่อย ๆ ตลอด 3 ไตรมาสปี 2009 ที่น่าห่วงอย่างยิ่งก็คือที่โหดที่สุดมีแนวโน้มว่าปี 2010 จะไม่ดีขึ้น เพียงแต่หวังลม ๆ แล้ง ๆ ว่าอย่าถึง ขนาดเลวกว่าปี 2009 เลย

รายงานของ Motorcycle Industry Council ประมาณยอดขายมอเตอร์ไซค์ในไตรมาส 3 ของปี 2009 ตกลงมากถึง 37.3 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับปี 2008 เมื่อเห็นตัวเลขเราย่อมต้องรู้ว่ายอดขายไตรมาสแรกและไตรมาสสุดท้ายจะเป็นตัวเลขที่ต่ำ ที่ขายดีก็คือไตรมาส 2 และ 3 ที่เป็นดังนี้มิใช่มอเตอร์ไซค์เท่านั้น สินค้า อื่น ๆ ก็ขึ้นลงแบบนี้เหมือนกัน หรือใกล้เคียงกัน

มันจะไม่ตกใจได้อย่างไรก็ตลาด รถมอเตอร์ไซค์นั้นมิใช่เป็นเงินคันละมากมายจนถึงขนาดต้องหยุดชะงัก จะมีแพงก็ยี่ห้อ "ฮาร์เลย์-เดวิดสัน" เท่านั้น จะว่าแพงก็ไม่เชิงเพราะบางรุ่นราคา 15,000 เหรียญ ความจริงก็คือ 2-3 ปีมานี้เศรษฐกิจมะกาไม่ดี ฮาร์เลย์จึงผลิตมอเตอร์ไซค์ขนาดเล็กราคาไม่ถึง 10,000 เหรียญออกมา ได้ยินว่ายอดขายไม่ค่อยดีเนื่องด้วยขนาดใหญ่ราคา 2-3 หมื่นเหรียญนั้นนักเล่นต้องการซื้อมาใช้และโชว์มากกว่า ถ้าจะใช้ขนาดเล็กก็ไปซื้อยี่ห้อยามาฮ่า คาวาซากิ หรือซูซูกิ น่าจะสวยกว่า

ฮาร์เลย์นั้นเป็นมอเตอร์ไซค์คลาสสิก คนที่ซื้อมาใช้นับว่ารักและชอบมันอย่างจริงใจ (แม้จะซื้อมาแล้วไม่ค่อยกล้า เอา ออกมาขี่เพราะกลัวโดนขีด หรือมีบาดแผล) เมื่อตลาดซบเซาฮาร์เลย์ย่อมกระเทือนอย่างมาก
รายได้ของฮาร์เลย์ปีละหลายพันล้านเหรียญ ปีสองปีที่ผ่านมาหายไปเป็นพันล้านเหรียญเพราะกิจการของฮาร์เลย์ถือว่าใหญ่ มีคนงานประมาณ 2,000 คน เงินเดือน เงินชั่วโมงค่อนข้างสูง

เมื่อเศรษฐกิจไม่ดี การค้าตกต่ำ สิ่งที่ต้องทำก็คือ การลดค่าใช้จ่ายของบริษัท ฮาร์เลย์จำเป็นต้องลดคนงานลงครึ่งหนึ่ง ต้องขายแผนกมอเตอร์ไซค์ยี่ห้อ Buell และ MV Agusta (อิตาลี) ออกไป แม้จะลด คนงาน ลดค่าใช้จ่าย แต่สิ่งหนึ่งที่ลดไม่ได้หรือไม่ยอมลดก็คือการโฆษณา ซึ่งในมะกาถือเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็น ยิ่งเศรษฐกิจ ไม่ดีอย่างนี้ขืนลดหรือหายไปจากจอทีวี หรือ น.ส.พ. คนจำนวนมากอาจเข้าใจได้อย่างเดียว คือ ธุรกิจนั้น ๆ จบสิ้นแล้ว เจ๊งแล้ว

ยักษ์ใหญ่ห้างสรรพสินค้าดังยี่ห้อ Macy"s เข้าใจสถานการณ์ตกต่ำได้ดีเยี่ยม เมซี่ทุ่มโฆษณาลงใน น.ส.พ.แอลเอ.ไทม์เดือนละเกือบ 100 หน้า บางวัน 15 หน้า บางวัน 8-10 หน้า ธุรกิจอื่น ๆ ก็เช่นกัน ยิ่งเป็นฉบับวันอาทิตย์ ไม่ว่าจะเป็นส่วนที่อยู่ในตัว น.ส.พ. หรือโฆษณาแทรกมีเป็นกะตั้ก หนา 2-3 นิ้ว เพราะเล่มวันอาทิตย์มีคูปองลดราคาเกือบทุกหน้า สินค้าลดราคาหลายเปอร์เซ็นต์

แอลเอ.ไทม์ เผยว่า ตั้งแต่ปี 1992-2006 ธุรกิจมอเตอร์ไซค์ในมะกามียอดขายเพิ่มขึ้นทุกปี มาเริ่มลดลงในปี 2007 มาจากพวกสกูตเตอร์ที่ยอดขายหายไป (ใน 3 ไตรมาสที่ผ่านมา) รวม 62 เปอร์เซ็นต์ และพวก Sport Bike หายไป 51 เปอร์เซ็นต์ กระนั้นก็ดียอดขายรวมของมอเตอร์ไซค์ยังเกิน 1 ล้านคัน

ยักษ์ใหญ่ฮาร์เลย์นั้นไม่ค่อยสนใจ ตลาดต่างประเทศเท่าไร ผมคิดว่าเป็นเพราะมะกาประเทศเดียวก็เหลือกินแล้ว (หรือสนองจนเต็มไม้เต็มมือแทบไม่ทัน) เศรษฐกิจซบเซาคราวนี้ร้ายแรงมาก ร้ายขนาดที่ฮาร์เลย์ถึงกับต้องหาทางเปิดตลาดในอินเดีย จีน และยุโรป เพราะเศรษฐกิจของประเทศทั้งหลายนอกจากมะกาแล้วไม่ค่อยกระทบเท่าไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถมอเตอร์ไซค์

ปัจจุบันยอดขายของฮาร์เลย์ในต่างประเทศมีประมาณ 31 เปอร์เซ็นต์ ฮาร์เลย์ต้องการเพิ่มขึ้นเป็น 40 เปอร์เซ็นต์ภายใน ปี 2014 โดยมุ่งไปที่ตลาดอินเดียเป็นอันดับที่ 1 และจีนเป็นอันดับที่ 2 เพราะรู้ว่าประชากรของทั้ง 2 ประเทศนี้ มีกำลังซื้อ เข้มแข็งมาก ตรงข้ามมะกาที่มีการปลดคนงานออกจำนวนมาก แล้วจะซื้อรถได้อย่างไร

ไตรมาส 3 ของปี 2009 ฮาร์เลย์มีผลกำไร 26.5 ล้านเหรียญ ในขณะที่ในไตรมาสเดียวกันปี 2008 มีผลกำไร 166.5 ล้านเหรียญ คิดเป็นรายได้ลดลง 21 เปอร์เซ็นต์ เป็นเงินรายได้ 1.12 พันล้านเหรียญ เพราะยอดขายหรือจำนวนมอเตอร์ไซค์ในมะกาหายไป 24 เปอร์เซ็นต์ และยอดขายในต่างประเทศทั่วโลกลดลงประมาณ 6 หมื่นคัน

ในอินเดียฮาร์เลย์เป็นมอเตอร์ไซค์ชั้นดีเปรียบเทียบกับรถยนต์ชั้นสูงในอินเดียที่นิยมใช้เบนซ์ ออดี้ และโรลสรอยซ์ มานานหลายปี โดยมีคู่แข่งเช่น จากัวร์ และแลนด์โรเวอร์ ตามประกบคอยฉกชิงลูกค้า ซึ่งวงการตลาดของอินเดียคาดว่าถ้าคู่ชิงใหม่สู้จริงแบบไม่ถอยหรือมีราคาถูกกว่าแต่คุณภาพไม่แพ้กันละก็ คอยดูคอยชมเถอะน่าดูแน่

ตลาดมอเตอร์ไซค์ (ชั้นค่อนข้างดี) ในอินเดียก็คือ มอเตอร์ไซค์ของบริษัท Bajaj ขนาดเครื่องยนต์ 180 ซีซี ซึ่งคนอินเดียว่ามันเป็นมอเตอร์ไซค์ที่เหมาะกับการสัญจรไปมาบนถนน ไอ้การที่จะซื้อพวกฮาร์เลย์มาใช้นั้นคงจะทำได้ยากเพราะคนอินเดียส่วนมากเป็นคนจน แต่คนอินเดียมีกว่า 1 พันล้านคน คนที่จะซื้อมอเตอร์ไซค์แพงขนาดยี่ห้อ "ฮาร์เลย์" นั้นก็ต้องมีแน่ คิดกันหยาบ ๆ ก็คงเกือบ 1 ล้านคน ซึ่งแม้จะมีข่าวว่ารัฐบาลอินเดียกำลังจะขึ้นภาษีมอเตอร์ไซค์หรือเก๋งหรูนั่นก็มิได้เป็นอุปสรรคอะไรสำหรับเศรษฐี (หรือเศรษฐีหน้าไหน ชาติไหน) เพราะถือว่าเป็นเงินเล็กน้อย ถ้าเกิดกำหนัดอยากได้ฮาร์เลย์เขาก็ต้องหาซื้อมันมาปลดกำหนัดได้

คนอินเดียทั่ว ๆ ไปมีเงินรายได้ต่ำกว่า 1 พันเหรียญต่อปี รถที่เขาใช้กันก็คงไม่ผิดกับคนไทย คือ ใช้มอเตอร์ไซค์ และสกูตเตอร์นั่งได้ 2 คน (สู้คนไทยไม่ได้ที่นั่งพ่อแม่ลูกได้ 3-4 คน) ในราคาคันละไม่เกิน 1,500 เหรียญ ซึ่งเขาจะซื้อยี่ห้อบาจาจ เครื่องยนต์ 188 ซีซี หรือจะซื้อของฮอนด้าเครื่องยนต์ 150 ซีซี ก็เลือกเอาเอง ที่แน่ ๆ ก็คือไม่มีสิทธิ์ซื้อฮาร์เลย์ได้เพราะของฮาร์เลย์อย่างต่ำเครื่องยนต์ 500 ซีซีก็แพงนะ ซื้อไม่ได้ ไม่มีเงิน

นั่นมิได้เป็นปัญหา เพราะจุดใหญ่ของฮาร์เลย์อยู่ที่การแนะนำเปิดตัวให้คนอินเดียรู้จัก เข้าทำนองว่าเศรษฐีอินเดียซื้อฮาร์เลย์ใช้ คนจนซื้อบาจาจหรือฮอนด้ามาใช้ มีเงินน้อยซื้อของถูก ฮาร์เลย์เห็นว่าการที่คนอินเดียได้เห็นฮาร์เลย์วิ่งฉลุยนั้นสำคัญกว่าสิ่งใด เพราะจะมีการพูดกันต่อ ๆ ไปว่าฮาร์เลย์เป็นมอเตอร์ไซค์ที่ดีที่สุด ดีสมราคา แล้วมันจะมีจำนวนมากขึ้นเอง ใจเย็น ๆ

รายงานของ Society of Indian Automobile Manufactures เผยออกมาเกี่ยวกับจำนวนมอเตอร์ไซค์และสกูตเตอร์ในอินเดีย ดูปี 2007 ขายได้เกือบ 8 ล้านคัน ปี 2009 เพียง 9 เดือนขายได้แล้วประมาณ 7 ล้านคัน ผมคิดว่าถึงสิ้นปีอาจฟาดกว่า 8 ล้านคัน เพราะคนอินเดียมีเศรษฐีเพิ่มขึ้น ๆ

ฮาร์เลย์ในมะกาลดการผลิตลงหลายสิบเปอร์เซ็นต์ มีการเจรจาตกลงให้คนงานออกประมาณ 1 พันคนพร้อมเงินชดเชย แล้วลงทุนเปิดตลาดใหญ่ในต่างประเทศทั่วโลก จะเป็นเศรษฐีใหญ่ขนาดไหน ไว้ก็รู้เอง

เพิ่มเติม http://www.thannews.th.com/

จักรยานยนต์เดือน11โต9%

จักรยานยนต์เดือน พ.ย.คึกคักรับเศรษฐกิจฟื้น ยอดขายทะยานกว่า 1.3 แสนคัน โตกว่าเดือนก่อน 9 % แต่รวมยอด 11 เดือนแรกยังติดลบ 13 % ฮอนด้ายังนำโด่ง ครองตลาดกว่า 66 %

นายธีระพัฒน์ จิวะพงศ์ กรรมการบริหารฝ่ายขาย บริษัท เอ.พี.ฮอนด้า จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ ฮอนด้า เปิดเผยว่า ตลาดรถจักรยานยนต์เดือนพฤศจิกายน กลับมาคึกคักรับลมหนาวด้วยยอดจดทะเบียนรวมสูงถึง 130,264 คัน เติบโตขึ้นจากเดือนก่อนหน้า 9% และยังมียอดรวมที่มากกว่าเดือนเดียวกันของปีก่อนถึง 4% โดยฮอนด้าในฐานะผู้นำตลาด แรงสุดขีดด้วยอัตราครองตลาดที่ 68% เทียบเท่าจำนวน 88,900 คัน เติบโตสูงขึ้นถึง 15% จากเดือนก่อน และยังเติบโตกว่าเดือนเดียวกันของปีที่ผ่านมาถึง 11% โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดรถประเภท เอที หลังจากเปิดตัวฮอนด้าสกู๊ปปี้ ไอ ได้เต็มกำลังมากขึ้น ส่งผลให้ยอดรวมรถ เอที ของฮอนด้าผงาดขึ้นแท่นผู้นำตลาดรถออโตเมติกประเทศไทย ด้วยอัตราส่วนตลาดสูงถึง 51% ที่ 31,317 คัน

"จากสภาพเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศที่มีทิศทางฟื้นตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับมาตรการของภาครัฐบาลและภาคเอกชน ที่ออกมาช่วยกระตุ้นและส่งเสริมการอุปโภคบริโภคของประชาชน ความเชื่อมั่นและกำลังซื้อเริ่มฟื้นกลับคืนมา ส่งผลให้ตลาดเดือน พ.ย. กลับมาคึกคักด้วยยอดการขายที่ดีขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มรถเอทีของฮอนด้าที่แรงสุดขีด หลังสามารถป้อนฮอนด้าสกู๊ปปี้ไอได้เต็มกำลัง ส่งผลให้ยอดจดทะเบียนฮอนด้า เอที โดยรวมพุ่งสูงขึ้นถึง 31,317 คัน ขึ้นเป็นผู้นำตลาดออโตเมติกประเทศไทยด้วยอัตราส่วนตลาด 51%"

ด้านรายงานตัวเลขตลาดรถจักรยานยนต์ทุกประเภทของตลาด เดือนพฤศจิกายน มีความคึกคักมากขึ้นด้วยปริมาณยอดจดทะเบียน 130,264 คัน โดยปริมาณยอดจดทะเบียนในเดือนนี้ประกอบด้วย รถจักรยานยนต์แบบครอบครัวด้วยปริมาณตัวเลข 63,240 คัน เทียบเท่าสัดส่วนตลาด 49% ในขณะที่รถแบบ เอที มีปริมาณ 61,348 คัน เทียบเท่าสัดส่วนตลาด 47%, รถแบบครอบครัวกึ่งสปอร์ต 2,968 คัน เทียบเท่าสัดส่วนตลาด 2%, รถแบบสปอร์ต 894 คัน เทียบเท่าสัดส่วนตลาด 1% และรถประเภทอื่นๆ 1,814 คัน เทียบเท่าสัดส่วนตลาด 1%

ทางด้านปริมาณยอดจดทะเบียนสะสมตั้งแต่ต้นปี 2552 ถึงเดือนพฤศจิกายนอยู่ที่ 1,388,189 คัน ลดลง 13% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา ขณะที่รถจักรยานยนต์ประเภทครอบครัวครองความเป็นรถยอดนิยมตลอดกาล ด้วยปริมาณยอดจดทะเบียนที่มากถึง 683,809 คัน เทียบเท่าสัดส่วนตลาด 49% ในขณะที่ค่ายฮอนด้าที่เป็นผู้นำตลาดนั้น มีอัตราครองตลาดในกลุ่มรถประเภทนี้ถึง 86% ส่วนรถประเภทอื่นๆ มีรายละเอียดยอดการจดทะเบียนสะสมตั้งแต่ต้นปีจนถึงเดือนพฤศจิกายน ดังนี้ คือ รถแบบ เอที มีปริมาณ 647,008 คัน เทียบเท่าสัดส่วนตลาด 47%, รถแบบครอบครัวกึ่งสปอร์ต 33,736 คัน สัดส่วนตลาด 2%, รถแบบสปอร์ต 10,498 คัน สัดส่วนตลาด 1% และรถประเภทอื่นๆ 13,138 คัน สัดส่วนตลาด 1%

ในขณะที่หากแบ่งแยกเป็นยอดจดทะเบียนตามประเภทของผู้ผลิต รถจักรยานยนต์ฮอนด้า 915,172 คัน เทียบเท่าอัตราครองตลาด 66%, ยามาฮ่า 388,284 คัน อัตราครองตลาด 28%, ซูซูกิ 58,169 คัน อัตราครองตลาด 4%, คาวาซากิ 13,247 คัน อัตราครองตลาด 1%, เจอาร์ดี 1,499 คัน, แพล็ตตินั่ม 1,003 คัน, ไทเกอร์ 999 คัน และอื่นๆ 9,816 คัน

เพิ่มเติม http://www.thannews.th.com

วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ฮอนด้า เอ.ที. ชนะขาดตลาดรถออโตเมติคประเทศไทย ขึ้นแท่นผู้นำ เอ.ที. ด้วยอัตราส่วนตลาดสูงถึง 51%

ตลาดรถจักรยานยนต์เดือนพฤศจิกายน กลับมาคึกคักรับลมหนาวด้วยยอดจดทะเบียนรวมสูงถึง 130,264 คัน เติบโตขึ้นจากเดือนก่อนหน้า 9% และยังมียอดรวมที่มากกว่าเดือนเดียวกันของปีก่อนหน้าถึง 4% โดยฮอนด้าในฐานะผู้นำตลาด แรงสุดขีดด้วยอัตราครองตลาดที่ 68% เทียบเท่าจำนวน 88,900 คัน เติบโตสูงขึ้นถึง 15% จากเดือนก่อนหน้า และยังเติบโตกว่าเดือนเดียวกันของปีที่ผ่านมาถึง 11% โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดรถประเภท เอ.ที. หลังจากป้อนฮอนด้าสกู๊ปปี้ ไอ ได้เต็มกำลังมากขึ้น ส่งผลให้ยอดรวมรถ เอ.ที. ของฮอนด้าผงาดขึ้นแท่นผู้นำตลาดรถออโตเมติคประเทศไทย ด้วยอัตราส่วนตลาดสูงถึง 51% ที่ 31,317 คัน พร้อมย้ำความมั่นใจถึงความแรงอย่างต่อเนื่องของฮอนด้า เอ.ที. ที่มีรุ่นรถครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย เพียบพร้อมเทคโนโลยีของผู้นำออโตเมติค อย่างแท้จริง

นายธีระพัฒน์ จิวะพงศ์ กรรมการบริหารฝ่ายขาย บริษัท เอ.พี.ฮอนด้า จำกัด กล่าวว่า “จากสภาพเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศที่มีทิศทางฟื้นตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับมาตรการของภาครัฐบาลและภาคเอกชน ที่ออกมาช่วยกระตุ้นและส่งเสริมการอุปโภคบริโภคของประชาชน ความเชื่อมั่นและกำลังซื้อเริ่มฟื้นกลับคืนมา ส่งผลให้ตลาดเดือน พ.ย. กลับมาคึกคักด้วยยอดการขายที่ดีขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มรถเอ.ที. ของฮอนด้าที่แรงสุดขีด หลังสามารถป้อนฮอนด้าสกู๊ปปี้ไอได้เต็มกำลัง ส่งผลให้ยอดจดทะเบียนฮอนด้า เอ.ที. โดยรวมพุ่งสูงขึ้นถึง 31,317 คัน ขึ้นเป็นผู้นำตลาดออโตเมติคประเทศไทยด้วยอัตราส่วนตลาด 51%” นอกจากนั้น นายธีระพัฒน์ยังตอกย้ำความมั่นใจถึงความแรงอย่างต่อเนื่องของฮอนด้า เอ.ที. ที่จะผงาดในฐานะผู้นำตลาดออโตเมติคประเทศไทยอีกว่า “หลังการวางตลาดฮอนด้า พีซีเอ็กซ์ ยิ่งเป็นการเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับฮอนด้า เอ.ที. และตอกย้ำความเป็นผู้นำเทคโนโลยีเอ.ที. อย่างแท้จริง เพราะไม่เพียงมีทางเลือกได้ครอบคลุมทุกความต้องการของผู้ใช้ แต่เรายังนำเสนอสิ่งที่เหนือความคาดหมายของผู้ใช้ได้อีกด้วย”

สำหรับด้านรายงานตัวเลขตลาดรถจักรยานยนต์ทุกประเภทของตลาด เดือนที่สองของไตรมาสสุดท้าย มีความคึกคักมากขึ้นด้วยปริมาณยอดจดทะเบียน 130,264 คัน โดยปริมาณยอดจดทะเบียนในเดือนนี้ประกอบด้วย รถจักรยานยนต์แบบครอบครัวด้วยปริมาณตัวเลข 63,240 คัน เทียบเท่าสัดส่วนตลาด 49% ในขณะที่รถแบบ เอ.ที. มีปริมาณ 61,348 คัน เทียบเท่าสัดส่วนตลาด 47%, รถแบบครอบครัวกึ่งสปอร์ต 2,968 คัน เทียบเท่าสัดส่วนตลาด 2%, รถแบบสปอร์ต 894 คัน เทียบเท่าสัดส่วนตลาด 1% และรถประเภทอื่นๆ 1,814 คัน เทียบเท่าสัดส่วนตลาด 1%

ทางด้านปริมาณยอดจดทะเบียนสะสมตั้งแต่ต้นปี 2552 ถึงเดือนพฤศจิกายนปีเดียวกันอยู่ที่ 1,388,189 คัน ลดลง 13% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา ขณะที่รถจักรยานยนต์ประเภทครอบครัวครองความเป็นรถยอดนิยมตลอดกาล ด้วยปริมาณยอดจดทะเบียนที่มากถึง 683,809 คันเทียบเท่าสัดส่วนตลาด 49% ในขณะที่ค่ายฮอนด้าที่เป็นผู้นำตลาดนั้น มีอัตราครองตลาดในกลุ่มรถประเภทนี้ถึง 86% ส่วนรถประเภทอื่นๆ มีรายละเอียดยอดการจดทะเบียนสะสมตั้งแต่ต้นปีจนถึงเดือนพฤศจิกายน ดังนี้ คือ รถแบบ เอ.ที. มีปริมาณ 647,008 คัน เทียบเท่าสัดส่วนตลาด 47%, รถแบบครอบครัวกึ่งสปอร์ต 33,736 คัน สัดส่วนตลาด 2%, รถแบบสปอร์ต 10,498 คัน สัดส่วนตลาด 1% และรถประเภทอื่นๆ 13,138 คัน สัดส่วนตลาด 1%
ในขณะที่หากแบ่งแยกเป็นยอดจดทะเบียนตามประเภทของผู้ผลิต รถจักรยานยนต์ฮอนด้า 915,172 คัน เทียบเท่าอัตราครองตลาด 66%, ยามาฮ่า 388,284 คัน อัตราครองตลาด 28%, ซูซูกิ 58,169 คัน อัตราครองตลาด 4%, คาวาซากิ 13,247 คัน อัตราครองตลาด 1%, เจอาร์ดี 1,499 คัน, แพล็ตตินั่ม 1,003 คัน, ไทเกอร์ 999 คัน และอื่นๆ 9,816 คัน

เพิ่มเติม http://www.newswit.com

วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2552

Angelina Jolie riding a Triumph Street Triple R

นานๆ ทีจะเห็นนักแสดงผู้หญิง ขี่มอเตอร์ไซค์กะเขาบ้าง ภาพนี้เป็นส่วนนึงของภาพยนต์ ที่เธอแสดงเป็นเจ้าหน้าที่ CIA แล้วต้องขับขี่รถยี่ห้อ Triumph รุ่น Street Triple R ติดตามชมได้ปีหน้า เรื่อง "Salt"

วันอังคารที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2552

มหานครมอเตอร์ไซค์

ซอกแซกสุดสัปดาห์นี้มาตามสัญญาครับ...คือจะมาเล่าถึงเรื่องราวของนครโฮจิมินห์ หรือไซ่ง่อน ต่อจากคอลัมน์ในวันธรรมดาที่ผมเขียนค้างไว้

โดยเฉพาะเรื่องราวของ "จักรยานยนต์" หรือ "มอเตอร์ไซค์" ที่ผมบอกว่า...ไซ่ง่อน...น่าจะเป็น มหานครแห่งจักรยานยนต์ เพราะมีจักรยานยนต์วิ่งไปวิ่งมาขวักไขว่ตามท้องถนนมากมายเหลือเกิน

ในเอกสารคู่มือเดินทาง ที่หัวหน้าทัวร์ของพวกเรา อาจารย์ เผ่าทอง ทองเจือ แจกให้เราก่อนขึ้นเครื่อง ระบุเอาไว้ว่า "นครโฮจิมินห์เป็นเมืองศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ มีวิถีชีวิตของผู้คนที่ขวักไขว่ มีจักรยานยนต์วิ่งอยู่ตามท้องถนนมากที่สุดในโลก"

ก่อนเขียนคอลัมน์วันนี้ผมพยายามค้นหาอยู่หลายชั่วโมงว่าที่นี่มีมอเตอร์ไซค์มากที่สุดในโลกจริงหรือไม่? ยังไม่ปรากฏหลักฐานหรือคำตอบที่แจ้งชัดครับ

แต่ก็เชื่อได้ว่าน่าจะจริงเพราะจากตัวเลขเท่าที่ค้นเจอไซ่ง่อนเป็นนครที่มีจักรยานยนต์มากมาย ตั้งแต่ 4 ล้านคันขึ้นไปถึง 9 ล้านคัน

เหตุที่ผมใช้ตัวเลข 4-9 ล้านคันข้างต้นก็เพราะในข้อเขียนที่ฝรั่งเขียนถึงนั้นไม่ตรงกันสักราย...รายหนึ่งบอกว่า 4 ล้านคัน อีกรายว่า 5 ล้านคันเศษๆ และรายล่าสุดบอกว่า น่าจะถึง 9 ล้านคันโน่นเลย

สำหรับรายหลังออกจะเว่อร์ไปหน่อย เพราะประชาชนของโฮจิมินห์ ซิตี้ ที่สำรวจล่าสุดมีประมาณ 7 ล้านกว่าคน...ถ้ามีมอเตอร์ไซค์ 9 ล้านคันจริง ก็แสดงว่า คนเมืองนี้มีมอเตอร์ไซค์คนละคัน และบางคนอาจจะมีมากกว่า 1 คันเอาด้วย

ผมจึงเชื่อตัวเลข 4 ล้านคัน หรือ 5 ล้านคันมากกว่า เพราะแค่นี้ก็ถือว่ามากพอดูแล้ว

เวลานั่งรถออกไปตามที่ต่างๆ โดยเฉพาะช่วงหัวค่ำจะมองเห็นขบวนจักรยานยนต์ของชาวไซ่ง่อนยั้วเยี้ยเต็มไปหมด

อาจจะเป็นเพราะไซ่ง่อนมีพื้นที่การจราจรเพียง 2 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น เทียบกับลอนดอน หรือปารีสที่มี 15 เปอร์เซ็นต์ หรือแม้แต่กรุงเทพฯ ก็ยังมีประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์..จึงทำให้การจราจรไซ่ง่อนแน่นขนัดกว่าประเทศอื่นๆ

พอไปถึงไฟแดง...เราจะได้เห็นภาพที่ไม่เคยเห็นที่บ้านเมืองอื่น แม้แต่ใน กทม.ของเรา คือภาพขบวนมอเตอร์ไซค์ติดอยู่ข้างหน้า และบางทีก็ข้างหลังเราด้วยยาวเหยียดแทบสุดลูกหูลูกตาเลยทีเดียว

ทั้งขี่เดี่ยวๆ ทั้งขี่แบบมีซ้อนท้าย ทั้งผู้หญิง ทั้งผู้ชาย และบางคันก็มีเด็กๆนั่งแทรกอยู่ตรงกลางมาด้วย

ที่น่าชื่นชมอย่างยิ่งก็คือ ทุกๆคันไม่ว่าคนขี่ หรือคนซ้อนจะสวมหมวกกันน็อกทั้งหมด

มัคคุเทศก์ท้องถิ่นที่พูดภาษาไทยคล่องปรื๋อ บอกพวกเราว่า เวียดนามประกาศใช้กฎหมายบังคับให้ผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์ต้องใส่หมวกกันน็อก เมื่อปี 2007

เขาบอกเอาไว้ก่อน 6 เดือน ให้เตรียมตัว และพอครบกำหนด 6 เดือนปุ๊บก็จับ และปรับแหลกทันทีถ้าใครไม่สวม

การเป็นประเทศสังคมนิยมก็ดีไปอย่าง ตรงที่เขาคุมกันได้อย่างเข้มข้น ไม่มีใครกล้าขัดกฎหมายใดๆทั้งสิ้น รวมทั้งกฎหมายว่าด้วยการจราจร

เราจึงเห็นคนเวียดนามสวมหมวกกันน็อกอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย และการขับขี่แม้จะดูฉวัดเฉวียน แต่ก็ไม่ถึงขนาดซิ่งแบบบ้านเรา--รวมทั้งเด็กหนุ่มสาวๆของเขาก็ไม่มีวี่แววว่าจะเป็นเด็กแว้นแบบบ้านเรา

เสียงมอเตอร์ไซค์ก็เบากว่า และควันก็น้อยกว่า เพราะเขาห้ามทะลวง หรือดัดแปลงท่อไอเสียอย่างเด็ดขาด

ผมออกมานั่งหน้าโรงแรมที่มีมอเตอร์ไซค์ขวักไขว่ อยู่คืนหนึ่ง ยังแปลกใจที่ไม่มีกลิ่นเหม็นน้ำมันอะไรเลย

ประเด็นที่น่าห่วงสำหรับคนต่างถิ่นอย่างเราๆก็คือ จะข้ามถนนอย่างไรดีล่ะ? เพราะตามถนนต่างๆ หรือตามแยกต่างๆ ทั้งรถยนต์ และรถมอเตอร์ไซค์ มักจะไหลมาไม่หยุด

ไกด์บอกเราว่าอย่ากลัว เมื่อตัดสินใจข้ามถนนแล้ว ขอให้กัดฟันเดินไปเรื่อยๆ รถมอเตอร์ไซค์ (หรือแม้แต่รถเก๋ง) เขาจะเลี่ยงคุณเอง หรือไม่ก็หยุดให้คุณข้ามไปก่อน

แต่ถ้าคุณหยุดเดิน หรือเดินไปแล้วหยุดกลางถนน เขาจะถือว่าคุณหยุดให้ เขาก็จะขับขี่ของเขาไปเรื่อยๆ ซึ่งจะทำให้คุณหมดสิทธิข้าม

ข้อเขียนของฝรั่งรายหนึ่งแนะนำคล้ายๆกันว่า "คุณต้องเดินข้ามถนนไปเลยอย่าหยุด ถึงเวลาจวนตัวให้มองหน้าคนขี่จักรยานเอาไว้" (ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า มองหน้าแล้วเขาจะชะลอให้หรือเปล่า--หรือจะมองเพื่อให้จำหน้าได้แม่นยำก่อนโดนชน)

ผมลองปฏิบัติตามคำแนะนำเกือบทุกข้อ

โดยเฉพาะข้อเดินไปเรื่อยๆอย่าหยุดนั้นได้ผลอย่างที่เขาบอกจริงๆแฮะ

แต่อย่าเชื่อผมมากนะครับ...ยังไงๆ ก็ขอให้ระวังๆ เอาไว้เป็นดีที่สุดสำหรับใครก็ตามที่จะไปข้ามถนน ที่ โฮจิมินห์ ซิตี้ในขณะนี้

ระหว่างอยู่ที่โน่นผมไม่เห็นคนขี่มอเตอร์ไซค์สวมเสื้อกั๊ก มีเบอร์ ส.ส. หรือเบอร์อะไรสักอย่างแบบบ้านเรา ก็เลยนึกว่าไม่มีมอเตอร์ไซค์รับจ้าง

กลับมาบ้านเปิดอ่านข้อเขียนของฝรั่งเขาบอกว่ามีแล้วก็มีเยอะเสียด้วย เขาเรียกตรงไปตรงมาว่า "มอเตอร์ไบค์ แท็กซี่"

สนนราคาก็ไม่แพงนัก นั่งซ้อนวิ่งไปวิ่งมาในตัวเมืองสั้นๆ ประมาณ 10,000 ด่อง หรือ 20 บาท เท่านั้น และจากในเมืองไปสนามบินเขาก็คิด 30,000 ด่อง หรือ 60 บาท ซึ่งส่วนใหญ่จะถูกกว่าค่าแท็กซี่ทั่วๆไปราวๆครึ่งหนึ่ง

เขายังคุยด้วยว่า บรรดามอเตอร์ไซค์รับจ้างในตัวเมืองโดยเฉพาะในเขต 1 ซึ่งถือเป็นเขตเจริญสูงสุดและมีโรงแรมดีๆ ตั้งอยู่เยอะแยะนั้น...บางคนพูดภาษาอังกฤษ ได้พอสมควรทีเดียวเชียว

สำหรับท่านที่จะลองขี่มอเตอร์ไซค์เองเขาก็มีให้เช่าในหลายๆจุด...ใครอยากจะเช่าแล้วขับขี่ไปเสี่ยงดวงเองก็เชิญได้เลย สนนราคาที่เขาบอกไว้ตกประมาณ 100,000 ด่อง หรือ 200 บาท ต่อชั่วโมง

แต่ในข้อเขียนของฝรั่งรายนี้ก็ย้ำไว้ด้วยว่า ถ้าเราไม่แน่จริงอย่าดีกว่า นั่งซ้อนคนอื่นเหอะถูกกว่าและปลอดภัยกว่าเยอะ

ดีที่สุดปลอดภัยที่สุดก็ควรไปแท็กซี่ หรือแม้แต่ รถเมล์ถ้าเรารู้เส้นทาง

ครับ! ก็เป็นเรื่องราวของมหานครมอเตอร์ไซค์ "โฮจิมินห์ ซิตี้" ที่ผมยังไม่เคยเขียนถึง จึงต้องขออนุญาตกลับมาเขียนเสียให้ครบถ้วน

เขียนๆไปก็อดอิจฉาเขาไม่ได้ เพราะทั้งๆที่เขามีมอเตอร์ไซค์เยอะกว่ายั้วเยี้ยกว่า แต่เขาสามารถคุมกันได้อยู่หมัด ไม่มีข่าวเด็กซิ่ง เด็กแว้น อะไรเลย

ประเภทนัดไปแข่งเป็นแก๊งเป็นก๊วนสร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้านนั้น ผมถามไกด์เขาแล้วเขาบอกว่า ไม่มีแน่นอน และก็คงไม่มีใครกล้า

บ้านเมืองใดที่กฎหมายเป็นกฎหมาย แม้จะยั้วเยี้ยวุ่นวายแค่ไหน เขาก็คุมกันอยู่...ส่วนบ้านเมืองที่กฎหมายเป็นกฎหมัน ก็อย่างที่เห็นๆนี่แหละครับ

เมื่อวานนี้เองมั้ง สถานีวิทยุ สวพ.91 เขาแถลงว่า ถนนที่ชาวบ้านโทรศัพท์มาร้องเรียนมากที่สุดว่ามีวัยรุ่นใช้เป็นสนามแข่งรถยนต์ และรถจักรยานยนต์นั้น ได้แก่ ถนนเกษตร–นวมินทร์ ซึ่งมีการแข่งถึง 913 ครั้ง ตั้งแต่ 1 ม.ค. 52-30 พ.ย. 52

สงสัยจะต้องยืมตัวผู้บัญชาการตำรวจนคร โฮจิมินห์มาช่วยราชการไทยในตำแหน่งผู้บัญชาการ ตำรวจนครบาลแบงค็อกไทยแลนด์ สัก 3 เดือนละมั้งเนี่ย เผื่อจะปราบเด็กแว้นได้ราบคาบอย่างเขาบ้าง.

เพิ่มเติม http://www.thairath.co.th/

วันเสาร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2552

รถจักรยานยนต์อัดแฟชั่นดนตรีนำ

ซูซูกิ ชี้ตลาดรถจักรยานยนต์ยังมุ่งเน้นแฟชั่นและดนตรีเป็นกิจกรรมนำ ดึงกลุ่มเป้าหมายให้สนใจสินค้า ด้านฮอนด้าคาดตลาด 2 เดือนสุดท้ายของปีนี้คึกคักทั้งจากแคมเปญและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เผยยอดขาย10เดือนชะลอตัว 14% รถครอบครัวยังโดดเด่น

มร. มาซาโนบุ ไซโต้ ประธานกรรมการบริหารบริษัท ไทยซูซูกิมอเตอร์ จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันตลาดกำลังให้ความสนใจกับแฟชั่น และดนตรี ดังนั้นเพื่อตอบสนองกลุ่มเป้าหมาย ทางซูซูกิ จึงได้เดินหน้าเข้าสู่กลยุทธ์ที่จะสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายวัยรุ่นได้อย่างแท้จริง โดยจะมีกิจกรรมในทุกภาคทั่วประเทศ เพื่อกระตุ้นยอดขาย และการเติบโตของตลาด

สำหรับ ยอดขายของรถจักรยานยนต์ “ซูซูกิ เจลาโต้” ซึ่งเปิดตัวตั้งแต่เดือนกันยายนที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันครบ 3 เดือนนั้น มีผลประกอบการที่น่าพอใจอย่างมาก แสดงให้เห็นว่าวัยรุ่นในปัจจุบันต้องการรถจักรยานยนต์ที่แตกต่าง และเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง โดยขณะนี้บริษัทได้จัดแคมเปญลุ้นไปเที่ยว ชิม ชม ช๊อป กันที่ประเทศเกาหลีกับ “นิชคุณ” ซึ่งคาดว่าจะช่วยเพิ่มยอดขาย และเพิ่มส่วนแบ่งตลาดให้กับ “ซูซูกิ” อย่างแน่นอน

นายธีระพัฒน์ จิวะพงศ์ กรรมการบริหารฝ่ายขาย บริษัท เอ.พี.ฮอนด้า จำกัด กล่าวว่า การคาดการณ์ 2 เดือนสุดท้ายของปี ตลาดจะกลับมาคึกคักด้วยการผลักดันตลาดอย่างเต็มที่ของบรรดาค่ายผู้ผลิต รวมทั้งการแนะนำรถรุ่นใหม่ และกิจกรรมส่งเสริมการขาย

สำหรับปริมาณยอดจดทะเบียนสะสมตั้งแต่ต้นปี 2552 ถึงเดือนตุลาคมปีเดียวกันอยู่ที่ 1,257,919 คัน ลดลง 14% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา แม้ว่าสัดส่วนการเติบโตโดยรวมจะลดลง แต่เป็นการลดลงในภาวะชะลอตัวเฉกเช่นเดียวกับทิศทางของเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตามจากมาตรการการส่งเสริมการอุปโภคบริโภคของภาครัฐบาลและเอกชนที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่มีต่อภาพรวมเศรษฐกิจ ช่วยสนับสนุนให้ยอดขายรวมเติบโตขึ้น “รถจักรยานยนต์ประเภทรถแบบครอบครัว นับเป็นกลุ่มรถประเภทหลักของตลาดที่มีอัตราการเติบโตลดลงน้อยที่สุด สาเหตุหนึ่งคงเนื่องจากรถในกลุ่มประเภทนี้มีคุณสมบัติเด่นด้านความประหยัด สอดรับกับสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน และจากแนวโน้มของสภาพเศรษฐกิจที่ยังคงเติบโตลดลงในขณะนี้ จะเป็นปัจจัยที่ช่วยส่งเสริมให้รถประเภทนี้ได้รับความสนใจจากผู้บริโภคเพิ่มมากขึ้น

สำหรับยอดขายรถจักรยานยนต์เดือนตุลาคมมีจำนวน 119,918 คัน โดยปริมาณยอดจดทะเบียนในเดือนนี้ประกอบด้วย รถจักรยานยนต์แบบครอบครัวที่ยังคงได้รับความนิยมสุงสุดเช่นเคย ด้วยปริมาณตัวเลข 59,550 คัน เทียบเท่าสัดส่วนตลาด 50% ในขณะที่รถแบบ เอ.ที มีปริมาณ 55,007 คัน เทียบเท่าสัดส่วนตลาด 46%, รถแบบครอบครัวกึ่งสปอร์ต 2,831 คัน เทียบเท่าสัดส่วนตลาด 2%, รถแบบสปอร์ต 881 คัน เทียบเท่าสัดส่วนตลาด 1% และรถประเภทอื่นๆ 1,649 คัน เทียบเท่าสัดส่วนตลาด 1%

สำหรับรายละเอียดของยอดการจดทะเบียนสะสมตั้งแต่ต้นปีจนกระทั่งถึงสิ้นเดือนตุลาคม รถจักรยานยนต์ประเภทครอบครัวครองความเป็นรถยอดนิยมตลอดกาล ด้วยปริมาณยอดจดทะเบียนที่มากถึง 620,564 คันเทียบเท่าสัดส่วนตลาด 49% ในขณะที่ค่ายฮอนด้าที่เป็นผู้นำตลาดนั้น มีอัตราครองตลาดในกลุ่มรถประเภทนี้ถึง 84% ส่วนรถประเภทอื่นๆ มีรายละเอียดยอดการจดทะเบียนสะสมตั้งแต่ต้นปีจนถึงเดือนตุลาคม ดังนี้ คือ รถแบบ เอ.ที มีปริมาณ 585,659 คัน เทียบเท่าสัดส่วนตลาด 47%, รถแบบครอบครัวกึ่งสปอร์ต 30,768 คัน สัดส่วนตลาด 2%, รถแบบสปอร์ต 9,604 คัน สัดส่วนตลาด 1% และรถประเภทอื่นๆ 11,324 คัน สัดส่วนตลาด 1%

ในขณะที่หากแบ่งแยกเป็นยอดจดทะเบียนตามประเภทของผู้ผลิต รถจักรยานยนต์ฮอนด้า 826,269 คัน เทียบเท่าอัตราครองตลาด 66%, ยามาฮ่า 354,846 คัน อัตราครองตลาด 28%, ซูซูกิ 53,164 คัน อัตราครองตลาด 4%, คาวาซากิ 11,762 คัน อัตราครองตลาด 1%, เจอาร์ดี 1,436 คัน, แพล็ตตินั่ม 856 คัน, ไทเกอร์ 851 คัน และอื่นๆ 8,735 คัน

เพิ่มเติม http://www.thannews.th.com/

ยามาฮ่าร่วมสนับสนุนแมตซ์เทนนิสเปิดศักราช 2010 ชาราโปวา พบ วีนัส วิลเลี่ยมส์ พร้อมฉลองร้อยปีหัวหิน

บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด ผู้นำรถจักรยานยนต์ออโตเมติก ตอกย้ำกลยุทธ์ SPORT MARKETING สนับสนุนการแข่งขันเทนนิสนัดพิเศษ “เซ็นเท็นเนียล อินวิเทชั่น” ระหว่างนักเทนนิสหญิงซูเปอร์สตาร์ มาเรีย ชาราโปวาและ วีนัส วิล เลี่ยมส์ ร่วมกับ ลอนเทนนิสสมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์และเทศบาลเมืองหัวหิน

โดยการแข่งขันเทนนิสนัดพิเศษในครั้งนี้ จะจัดขึ้น ณ เซ็นเท็นเนียลพาร์ค หัวหิน ในวันเสาร์ที่ 2 มกราคม 2553 เพื่อเฉลิมฉลองในโอกาสครบรอบ 100 ปี หัวหิน และในโอกาสต้อนรับปีใหม่ด้วยแมตช์จากนักเทนนิสหญิงที่มีชื่อเสียงที่สุดของโลกทั้งสอง

มาเรีย ชาราโปวา และ วีนัส วิลเลี่ยมส์ เรียกได้ว่าเป็นสองนักเทนนิสหญิง ที่มีชื่อเสียงและเป็นที่สนใจที่สุดในวงการลูกสักหลาดหญิงในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ทั้งคู่เคยชนะรายการแกรนด์สแลมมาแล้ว 10 รายการ และเป็นแชมป์รายการดับบลิวทีเอ ประเภทเดี่ยวอีกทั้งสิ้น 61 รายการ ทั้งมาเรียและวีนัสยังนับเป็นคู่ต่อสู้ที่เข้มข้นด้วยสถิติการพบกัน ที่ต่างก็ผลัดกันแพ้และชนะ เสมอกันอยู่ที่ 3-3

ซึ่งหลังจากการแข่งขันประเภทเดี่ยว มาเรียและวีนัสจะจับคู่กับนักเทนนิสขวัญใจชาวไทย ภราดร ศรีชาพันธุ์ และ ดนัย อุดมโชค เพื่อทำการแข่งขันประเภทคู่ผสมอีก 1 เซ็ต

บัตรชมการแข่งขันเทนนิสนัดพิเศษ “เซ็นเท็นเนียล อินวิเทชั่น” เปิดขายที่ไทยทิคเก็ตเมเจอร์ทุกสาขา และเมเจอร์หัวหิน ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป และพิเศษสุดสำหรับสมาชิกชาวยามาฮ่าคลับ เพียงแสดงบัตรยามาฮ่าสมาร์ทเพิร์สที่เคาน์เตอร์ไทยทิคเก็ตเมเจอร์ทุกสาขา รับส่วนลดทันที 10% (บัตร 1 ใบ ซื้อได้ไม่เกิน 4 ที่นั่ง) สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม Yamaha Call Center: 02-263-9999 หรือ http://www.yamaha-motor.co.th/

เพิ่มเติม http://www.yamaha-motor.co.th/

วันพุธที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ราคารถต่อแลกมือสอง ฮอนด้า

เช็คราคารถจักรยานยนต์ฮอนด้ามือสองได้ ที่นี่ ครับ

แจกบัตรคอนเสิร์ต “อินคา 2010 .. in ARTE’ Concert”

อย่าพลาด วันที่ 19 - 20 ธค. 52 บ่ายโมงเป็นต้นไป พบกับงาน Bangkok ARTE’ Weekend ครั้งที่ 6 กลางทองหล่อ ซ.10 ใน Theme พิเศษ “Gift 2010 .. Season of Giving” ร่วมต้อนรับความสุขในเทศกาลแห่งการให้เพื่อต้อนรับปีใหม่ 2010 ที่จะมาถึงนี้ด้วยหลากหลายไอเดียเก๋ๆสำหรับสรรหาของขวัญที่พิเศษสุดและมีสไตล์ไม่ซ้ำใครได้ที่งานนี้ เข้าเที่ยวงานฟรี!

และเพื่อต้อนรับปีใหม่ในเทศกาลแห่งการให้ ในงานนี้ขอรับบริจาคของขวัญหรือหนังสือจากผู้มาร่วมเที่ยวงาน โดยขอรับบริจาคที่หน้างาน เพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้แก่เด็กยากจนตามสถานสงเคราะห์ต่างๆหลายแห่งทั่วกรุงเทพเพื่อเป็นเทศกาลแห่งการให้ที่เต็มรูปแบบอย่างแท้จริง พร้อมกันนี้รายได้ส่วนหนึ่งจากคอนเสิร์ตและงาน Fair นี้ ผู้จัดงานขอมอบให้ สถานสงเคราะห์เด็กยากจน “บ้านครูน้อย” คิดสร้างสรรค์และร่วมแบ่งปันสิ่งดีๆให้กับคนรอบข้าง คือส่วนหนึ่งในการใช้ชีวิตแบบ arteๆ (อา-เต ๆ)

และพิเศษสุดเฉพาะเย็นวันเสาร์ที่ 19 ธค. 52 เวลา 5 โมงเย็น พบกับ คอนสิร์ตสุดพิเศษ“อินคา 2010 .. in ARTE’ Concert” ศิลปินที่ถูกโหวตเรียกร้องมากที่สุดวงหนึ่ง ศิลปินวงอินคากลับมารวมตัวเฉพาะกิจเพื่อคอนเสิร์ตนี้ให้เป็นของขวัญสุดพิเศษสำหรับแฟนเพลงที่รอคอยมานานเพื่อให้คุณรู้สึก ARTE’ (อารมณ์ดี) สุดๆในวันหยุดของคุณ บัตรราคา 800 บาท จำหน่ายบัตรที่ Thai Ticket Major ทุกสาขา ประสบการณ์ดีๆที่คุณไม่ควรพลาด พร้อมบริการรถบัสรับ-ส่งฟรีจากสถานี BTS ทองหล่อ

พิเศษสุดๆ สมาชิกเว็บไซต์ยามาฮ่าทุกท่าน ลุ้นรับบัตรคอนสิร์ตสุดพิเศษ“อินคา 2010 .. in ARTE’ Concert”
จำนวน 20 ท่าน ท่านละ 2 ใบ มูลค่ารางวัลละ 1,600 บาท

กติกาลุ้นรางวัลง่ายๆ
ในช่องคำตอบพิมพ์ คำว่า "Yamaha" พร้อมเขียนชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรติดต่อกลับ ผู้โชคดีจากสุ่มจับรางวัลรับไปเลยบัตรคอนเสิร์ต “อินคา 2010 .. in ARTE’ Concert” จำนวนท่านละ 2 ใบ

หมดเขต 17 ธันวาคมนี้ เวลา 12.00 น. พร้อมประกาศรายชื่อผู้โชคดีที่นี่ วันเดียวกัน 16.00 น.เป็นต้นไป

เพิ่มเติม http://www.yamaha-motor.co.th

เอ.พี.ฮอนด้า ร่วมกับร้านผู้จำหน่ายฮอนด้าในเขตกรุงเทพ รณรงค์ "7 วันขับขี่ปลอดภัย เทิดไท้องค์ราชัน"

วันที่ 8 ธันวาคม 2552 นายอภิสิทธิ์ เชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงานกิจกรรม รณรงค์สร้างความปลอดภัยทางถนน "7 วันขับขี่ปลอดภัย เทิดไท้องค์ราชัน" ณ ทำเนียบรัฐบาล ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน(ศปถ.) โดยกรมป้องกันและบรรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ได้ร่วมกับหน่วยงานภาคีเครือข่ายจัดกิจกรรมเปิดการรณรงค์สร้างความปลอดภัยทางถนน "7 วันขับขี่ปลอดภัย เทิดไท้องค์ราชัน"

โดยในส่วนกลางกำหนดจัดกิจกรรมรณางค์ฯในรูปแบบการปล่อยขบวนณรงค์ป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน ประกอบด้วย ขบวนรณรงค์บังคับใช้กฏหมาย ขบวนอาสากู้ชีพ กู้ภัย หน่วยบริการทางการแพทย์ฉุกเฉิน และขบวนของหน่วยงานภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน ส่วนระดับจังหวัดกำหนดจัดกิจกรรมณรงค์ ฯบริเวณศาลากลางจังหวัด เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนมีความตื่นตัวและเข้ามามีส่วนร่วมในการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2553 ทั้งนี้ ในการดำเนินงานป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2553 ศปถ. ได้มุงเน้นการบังคับใช้กฏหมายเป็นสำคัญและบูรณาการความร่วมมือหน่วยงานทั้ง ภาคร่วมกันรณรงค์ฯ ตลอดเดือนธันวาคม 2552 โดยปฏิบัติการเข้มข้นในช่วง 7 วันของเทศกาลระหว่าง วันที่ 29 ธันวาคม - 4 มกราคม 2553 "7 วันขับขี่ปลอดภัย เทิดไท้องค์ราชัน" เพื่อรณรงค์ให้ผู้ใช้ถนนร่วมกันลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่2553 ถวายเป็นพระราชจกุศลแดพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

เพิ่มเติม http://www.aphonda.co.th

วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เอ.พี.ฮอนด้าเท 60 ล้าน พร้อมติดเครื่องตลาดบิ๊กไบค์

"ฮอนด้า" เทงบฯอีก 60 ล้านทำตลาดรถบิ๊กไบก์ หลังต้องชะลอแผนเปิดตัวเพราะพิษเศรษฐกิจ จากเดิมที่คาดพร้อมเปิดบริการในช่วงปลายปีที่ผ่านมา ลั่นกลางปีหน้าแล้วเสร็จ พร้อมทำตลาดเต็มสูบ ด้าน "ยามาฮ่า-ซูซูกิ" คาดปีหน้าตลาดรถบิ๊กไบก์โตเพิ่มอีก 15% เตรียมเข็นรุ่นใหม่ทำตลาด

นายธีระพัฒน์ จิวะพงศ์ กรรมการบริหารส่วนงานขาย บริษัท เอ.พี. ฮอนด้า จำกัด เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ถึงความคืบหน้า หลังจากที่บริษัทได้ตัดสินใจชะลอแผนทำตลาด และการเปิดศูนย์บริการสำหรับรถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่ หรือ "ฮอนด้าบิ๊กวิง" (Honda Big Wing) ออกไปอย่างไม่มีกำหนด จากเดิมที่คาดว่าจะพร้อมทำตลาดได้ในช่วงปลายปี 2551

สาเหตุที่ทำให้บริษัทจำเป็นต้องชะลอแผนงานดังกล่าวออกไปนั้น เป็นผลกระทบโดยตรงจากสภาพเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจในประเทศโดยรวม ทำให้บริษัทต้องชะลอโครงการดังกล่าวออกไปอย่างไม่มีกำหนด

แต่ปัจจุบัน บริษัทพร้อมที่จะนำแผนงานดังกล่าวกลับมาดำเนินการอีกครั้ง หลังจากที่ได้มีการตกแต่งโชว์รูมและศูนย์บริการด้านนอกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ยังไม่ได้ดำเนินการตกแต่งในส่วนของภายใน เนื่องจากติดปัญหาข้างต้น ซึ่งบริษัทจะกลับมาตกแต่งภายในโชว์รูมอีกครั้งในช่วงกลางปีหน้า คาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ภายในปลายปี เบื้องต้นคาดว่าจะใช้งบประมาณที่ 60 ล้านบาทเป็นอย่างน้อย

ศูนย์ "ฮอนด้าบิ๊กวิง" แห่งนี้ ถือเป็นศูนย์จำหน่ายรถซูเปอร์ไบก์ที่ครบวงจรของฮอนด้า โดยมีบริการทั้งงานขาย งานซ่อม สนามฝึกขับขี่ รวมทั้งมีพื้นที่ไว้สำหรับจัดกิจกรรมต่าง ๆ เนื่องจากลูกค้าในกลุ่มนี้ ถือเป็นลูกค้าที่มีความพิเศษเฉพาะตัวค่อนข้างมาก ซึ่งจำเป็นจะต้องมีกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง สำหรับศูนย์ดังกล่าวตั้งอยู่ใกล้แยกนวมินทร์เลียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา

ด้านนายเลิศศักดิ์ นววิมาน ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายขายและการตลาด บริษัท ไทยซูซูกิมอเตอร์ จำกัด กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ถึงตลาดรถบิ๊กไบก์ในปีหน้า คาดว่าจะมีอัตรากการเติบโตเพิ่มขึ้นอีก 10-15% แม้ว่าสภาพเศรษฐกิจและการ เมืองจะไม่เอื้ออำนวยมากนัก แต่เนื่องจากรถจักรยานยนต์กลุ่มนี้ยังถือเป็นกลุ่มที่มีฐานตัวเลขเดิมไม่สูงมาก

บวกกับปีหน้าประเทศไทยจะเริ่มใช้ข้อตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน (อาฟต้า) ที่ภาษีนำเข้าจะลงลดเป็นศูนย์ ซึ่งส่งผลให้ราคารถประเภทนี้ถูกลง ก็จะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่มาช่วยกระตุ้นตลาดบิ๊กไบก์มือสอง ซึ่งมีอยู่มากในปัจจุบัน ให้หันมาซื้อรถมือหนึ่งเพิ่มขึ้นอีก

ส่วนยอดขายรถบิ๊กไบก์ของบริษัทซูซูกิในปีนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ 10 คัน เนื่องจากนโยบายของบริษัทต้องการทำรถประเภทนี้เข้ามาเสริมภาพลักษณ์ก่อนในช่วงเริ่มต้น

ด้านนายประพันธ์ พลธนะวสิทธิ์ รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด กล่าวว่า ตลาดของรถบิ๊กไบก์ปีนี้โตขึ้น โดยปีที่แล้วมียอดขาย ที่ 100 คัน ส่วนปีนี้อยู่ที่ 140 คัน โดยรุ่นยอดนิยมคือยามาฮ่า "ทีแมกซ์" ซึ่งถือว่าไม่ได้เพิ่มจากปีที่แล้วมากนัก

เนื่องจากตลาดรถบิ๊กไบก์เป็นตลาดที่เล็กอยู่แล้ว น่าจะเติบโตได้ แต่ไม่มากเท่าไหร่ แต่ตลาดมอเตอร์ไซค์โดยรวมถือว่าอยู่ในช่วงคงที่แล้ว ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนกันยายน ตัวเลขผันแปรเยอะ น่าจะทำให้ตลาดรถบิ๊กไบก์คงที่ทั้งปลายปีนี้และในปีหน้า

เพิ่มเติม http://www.prachachat.net

วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ฮอร์เก้ ลอเรนโซ่ คลื่นลูกใหม่ ความภูมิใจของยามาฮ่า

ใครที่ได้ชมการแข่งขันจักรยานยนต์ทางเรียบชิงแชมป์โลก (โมโตจีพี 2009) ณ สนามเอสโตริล ประเทศโปรตุเกส เมื่อเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา ต่างก็อดชื่นชมฝีมือของนักแข่ง แดนกระทิงดุวัย 22 ปี ฮอร์เก้ ลอเรนโซ่ หรือ "ร็อกเกตบอย" คนนี้ ไม่ได้ เพราะนอกจากจะมีความแรง ความเร็ว เป็นอาวุธเด็ดแล้ว ยังเป็นนักแข่งที่มีสมาธิเป็นเยี่ยม ควบคุมรถในช่วงต่าง ๆ ของสนามแข่งได้อย่างดี

ลอเรนโซ่เป็นนักแข่งสังกัดทีมเฟียต ยามาฮ่า เริ่มลงแข่งขันในปี 2002 รุ่น 125 ซีซี จากนั้นได้ร่วมแข่งทุกปี และเป็นที่จับตามองจากหลาย ๆ สื่อหลังจากสามารถคว้าแชมป์โลกโมโตจีพี รุ่น 250 ซีซี ได้ในปี 2006 และ 2007 ในปีล่าสุดเขาก็สามารถคว้าตำแหน่งรองแชมป์โลกมาได้โดยขยับมาในรุ่น 800 ซีซี

ซึ่งการแข่งขันโมโตจีพี ปี 2009 มีทั้งหมด 17 สนาม ลอเรนโซ่ติดอันดับ 1 ใน 3 ทั้งหมด 12 สนาม และคว้า

อันดับ 1 ในการแข่งขัน 4 สนาม ได้แก่ สนามโมเตกิ ประเทศญี่ปุ่น สนามเลอ แมงส์ ประเทศฝรั่งเศส สนามอินเดียแนโพลิส ประเทศสหรัฐอเมริกา และสนามเอสโตริล ประเทศโปรตุเกส มอเตอร์ไซค์ที่นักแข่งผู้นี้ควบคุมอยู่ก็คือ ยามาฮ่า YZR-M1 นั่นเอง

วันนี้บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด ได้พา "ลอเรนโซ่" มาพบปะสื่อมวลชน อย่างเป็นกันเอง เพื่อให้สัมภาษณ์ถึงการแข่งขัน ความรู้สึกต่อมอเตอร์ไซค์คู่ใจ รวมทั้งเคล็ดลับที่ทำให้ไม่พลาดตำแหน่งแชมป์ ก่อนเข้าเก็บตัวฝึกซ้อมเพื่อสู้ศึกในการแข่งขันฤดูกาล 2010

- ประทับใจอะไรในยามาฮ่า

รู้สึกภูมิใจมากที่ทำผลงานได้เป็นที่พอใจกับทั้งตัวเองและคนอื่น ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ประสบความสำเร็จเพราะคุณภาพของ มอเตอร์ไซค์ยามาฮ่า ทั้งด้านเทคนิคและระบบต่าง ๆ ที่มีความสมบูรณ์พร้อม ผมไว้วางใจและเชื่อมั่นในเทคโนโลยีของยามาฮ่า ที่ทำให้รถแรง มีการควบคุมที่ดี จึงไม่คิดจะย้ายไปอยู่กับทีมไหน ผมไม่ต้องการการสนับสนุนอะไรเป็นพิเศษจากยามาฮ่า แต่จะทำหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุด ผมประทับใจการแข่งขันทุกแมตช์ เพราะแต่ละครั้ง แต่ละสนามมีความท้าทายแตกต่างกันไป ที่ทำให้ต้องใช้สมาธิและทักษะอย่างเต็มที่

- การฝึกซ้อม

นอกจากฝึกฝนในสนามแล้ว ก็ต้องออกกำลังกายสม่ำเสมอ โดยเล่นฟิตเนสกับคุณพ่อ เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง ควบคุมรถได้ดี ผมเตรียมตัวอย่างหนักเพราะเชื่อว่าไม่มีอะไรได้มาง่าย ๆ ต้องใช้ความพยายามและอดทน ผมต้องขอบคุณทุก ๆ คนที่ช่วยให้ผมประสบความสำเร็จ

- เคล็ดลับประสบความสำเร็จ

ตลอดเวลาที่ขับรถจะต้องปล่อยวาง ไม่คิดถึงอะไรทั้งสิ้น พยายามทำตัวให้สบายผ่อนคลายที่สุด หากเกิดความคิดเรื่อง ต่าง ๆ แม้แต่เรื่องของเทคนิคการขับหรือเรื่องเครื่องยนต์ อาจจะทำให้เสียสมาธิและพลาดเกิดอุบัติเหตุได้ ผมคิดว่าการขับแบบไปตามธรรมชาติจะทำให้ไปได้อย่างเร็วที่สุด

นอกจากนี้ แรงบันดาลใจอย่างหนึ่งที่ทำให้ผมรักการแข่งมอเตอร์ไซค์ก็คือ ทุก ๆ วันจะเห็นคุณแม่ใช้มีดปาดเนยทาขนมปังได้อย่างนุ่มนวลและเรียบสนิท คิดว่าอยากจะขับขี่ให้ได้นุ่มเรียบอย่างนั้นบ้าง ทุกวันนี้เมื่อขับมอเตอร์ไซค์ผมก็จะนึกถึงภาพนั้น

- ความคาดหวังการแข่งครั้งต่อไป

ไม่ว่าการแข่งขันจะผ่านไปด้วยดีหรือมีปัญหาก็ต้องมีการพัฒนาครั้งต่อ ๆ ไปให้ดีขึ้น อย่างน้อยผมอยากจะรักษาอันดับเอาไว้ เก็บแต้มคะแนนสะสมและฝึกฝนให้เกิดความมั่นใจว่าครั้งต่อไปจะแสดงฝีมือให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ

เพิ่มเติม http://www.prachachat.net/

เอไอเอสหนุน "ฟีม" ต่อมั่นใจมีโอกาสยืนโพเดียม

ความเคลื่อนไหวของ "เจ้าฟีม" รัฐภาคย์ วิไลโรจน์ นักบิดระดับโลกวัย 21 ปีของไทย ที่พักฤดูกาลและกลับมาพักผ่อน และทำการศึกษาต่อที่ประเทศไทย ก่อนที่จะกลับไปแข่งขันฤดูกาลใหม่ 2010 ในเดือนเมษายน 2553 โดย"เจ้าฟีม"จะขยับขึ้นไปขับรุ่น 600 ซีซี หรือ Moto 2 หลังจากที่ เอฟไอเอ ยกเลิกกาสรแข่งขันในรุ่น 250 ซีซี 2 จังหวะ นั้น

ล่าสุดเมื่อเมื่อพฤหัสบดีวันที่ 3 ธันวาคม ที่อาคารชินวัตร 1 ถ.พหลโยธิน นายวีรวิทย์ กิตติมหาชัย ผู้ช่วยผู้จัดการส่วนงานขับขี่ปลอดภัยและกีฬายานยนต์ บริษัทเอ.พี.ฮอนด้าจำกัด ได้พา "เจ้าฟีม" รัฐภาคย์ วิไลโรจน์ เดินทางมาขอบคุณ บริษัท แอดวานซ์อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด ( มหาชน) หรือ AIS ที่ให้การสนับสนุนมาตลอด 3 ฤดูกาลที่ผ่านมา โดยมี นายสมชัย เลิศสุทธิวงศ์ รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานการตลาดบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด ( มหาชน) และเจ้าหน้าที่จำนวนมากให้การต้อนรับ

นายสมชัย เลิศสุทธิวงศ์ เปิดเผยว่าฤดูกาลที่ผ่านมา ฟีมทำผลงานได้อย่างน่าพอใจ และต้องขอบคุณฮอนด้า และ ตัวฟีมเองด้วย ที่ช่วยเผยเแพร่ชื่อเสียงของเอไอเอสมาตลอด และที่สำคัญ เอไอเอส กับ ฮอนด้า ก็เป็นพันธมิตรทางการตลาดกันตลอดมาอยู่แล้ว สไหรับการแข่งขันในฤดูกาลหน้านั้น ทางเอไอเอส ก็พร้อมที่จะสนับสนุนเด็กไทยที่จะไปสร้างชื่อเสียระดับโลก เช่นเดียวกับที่เอไอเอส สนับสนุนนักกีฬาไทย ในการแข่งขันกีฬาทั้งซีเกมส์เอเชี่ยนเกมส์ และโอลิมปิกเกมส์

ด้าน "เจ้าฟีม "ที่ฤดูกาลหน้าขยับขึ้นไปขับ รุ่น MOTO2 หรือ 600 ซีซี4 จังหวะ ได้เผยว่า"การขยับไปขับรุ่นใหญ่ขึ้นต้องมีการปรับตัวพอสมควร ผมมีโอกาสได้ทดสอบรถ600 ซีซี ที่สเปน บ้างแล้ว ก็อย่างที่ทราบกัน คือยังมีปัญหาเรื่องเฟรมรถที่ยังไม่ได้เลือกว่าเฟรมใหนจะ จะใช้ขับขี่แล้วลงตัวที่สุด ก็คงเป็นหน้าที่ของทีมงาน และผมเองที่จะเลือกเฟรมให้ลงตัวที่สุด และการที่กลับมาเมืองไทยช่วงนี้ ผมก็จะมีการฝึกซ้อมบิดรถ 600 ซีซีในเมื่องไทยเพื่อความคุ้นเคย
ไปพลาง ประมาณอาทิตย์หน้านี้ ทางทีมงานสต๊อป แอนด์ โก ที่ประเทศสเปน ก็จะส่งรถ 600 ซีซี มาถึงเมืองไทย ผมคงได้สร้างความคุ้นเคยกับรถที่สนามพีระเซอร์กิต พัทยา แน่นอน ก่อนที่จะบินกลับไปทดสอบรถคันใหม่อย่างเป็นทางการในเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า

สำหรับการที่"เจ้าฟีม"ได้เดินทางเข้าขอบคุณ เอไอเอส ในวันนี้ ผู้สื่อข่าวตั้งข้อสังเกตุว่า ทางผู้บริหารเอไอเอส ไม่ได้มีการพูดถึงการสนับสนุน"ฟีม"แต่อย่างใด แต่ผู้สื่อข่าว รวมทั้งทีมงานเอ.พี. ฮอนด้า จำกัด ต่างก็มั่นใจว่า เอไอเอส ที่เห็นผลงาน เห็นการพัฒนาของนัะกบิดไทยมาตลอด คงจะให้การสนับสนุน"ฟีม"อย่างเต็มที่ในฤดูกาลหน้าที่จะเปิดสนามแรก ที่จะแข่งขันวันที่ 11 เม.ย.53 ที่สนามโลเซลเซอร์กิต ประเทศกาตาร์

เพิ่มเติม http://www.manager.co.th/

วันพุธที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ฝนซัดจยย.ซบเซา ต.ค.ขายลดลง7%

ฝนตกหนักทำ ตลาดรถจักรยานยนต์เดือนต.ค. หดตัว 7% เทียบเดือนก่อนหน้า ส่งผลตลาดรวมหดตัว 14%
นายธีระพัฒน์ จิวะพงศ์ กรรมการบริหารฝ่ายขาย บริษัท เอ.พี.ฮอนด้า เปิดเผยตัวเลขการ จดทะเบียนของรถจักรยานยนต์ ในประเทศไทยในเดือนต.ค. 2552 พบว่าปริมาณยอดจดทะเบียน 119,918 คัน หดตัวลง 7% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า

ขณะที่ยอดจดทะเบียนสะสมตลอด 10 เดือนแรกของปี 2552 อยู่ที่ 1,257,919 คัน ลดลง 14% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของ ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการลดลงใน ภาวะชะลอตัวเช่นเดียวกับทิศทางของเศรษฐกิจ

ทั้งนี้ ปริมาณยอดจดทะเบียน ในเดือนต.ค. แบ่งออกเป็นรถ จักรยานยนต์แบบครอบครัว 59,550 คัน เทียบเท่าสัดส่วนตลาด 50% รถแบบเอที มีปริมาณ 55,007 คัน เทียบเท่าสัดส่วนตลาด 46% รถแบบครอบครัวกึ่งสปอร์ต 2,831 คัน เทียบเท่าสัดส่วนตลาด 2% รถแบบสปอร์ต 881 คัน เทียบเท่าสัดส่วนตลาด 1% และรถประเภทอื่นๆ 1,649 คัน สัดส่วนตลาด 1%

สำหรับยอดจดทะเบียนสะสม 10 เดือน แบ่งออกเป็นรถจักรยานยนต์ประเภทครอบครัว ด้วยปริมาณ ยอดจดทะเบียน 620,564 คัน เทียบเท่าสัดส่วนตลาด 49% รถแบบเอที มีปริมาณ 585,659 คัน เทียบเท่าสัดส่วนตลาด 47% รถแบบครอบครัวกึ่งสปอร์ต 30,768 คัน สัดส่วนตลาด 2% รถแบบสปอร์ต 9,604 คัน สัดส่วนตลาด 1% และรถประเภทอื่นๆ 11,324 คัน สัดส่วนตลาด 1%

ทั้งนี้ ฮอนด้าครองตำแหน่ง ผู้นำตลาดด้วยยอดจดทะเบียน 826,269 คัน เทียบเท่าอัตราครองตลาด 66% ยามาฮ่า 354,846 คัน อัตราครองตลาด 28% ซูซูกิ 53,164 คัน อัตราครองตลาด 4% คาวาซากิ 11,762 คัน อัตราครองตลาด 1% เจอาร์ดี 1,436 คัน แพลตตินัม 856 คัน ไทเกอร์ 851 คัน และอื่นๆ 8,735 คัน

เพิ่มเติม http://www.marketeer.co.th

ตลาดรถจักรยานยนต์เริ่มไตรมาสสุดท้าย รถครอบครัวยังคงได้รับความนิยมสูงสุดเช่นเคย "ฮอนด้า เวฟ 110i" ส่งสัญญาณครองแชมป์ ขึ้นชาร์ตอันดับ 1

ตลาดรถจักรยานยนต์เดือนตุลาคม รับหน้าฝนเต็มๆ กับตัวเลขตลาดรวมลดลง 7% เมื่อเทียบกับเดือนกันยายนที่ผ่านมา โดยรถครอบครัวยังครองสัดส่วนสูงสุดที่ 50% และกระแสความนิยมในรถครอบครัวแบบหัวฉีดเริ่มกระจายสู่ภูมิภาคมากขึ้น ส่งผลให้ฮอนด้า Wave110i ครองแชมป์อันดับ 1 รุ่นที่มียอดจดทะเบียนสูงสุดที่ 26,715 คัน ส่วนการคาดการณ์ 2 เดือนสุดท้ายของปี ตลาดจะกลับมาคึกคักด้วยการผลักดันตลาดอย่างเต็มที่ของบรรดาค่ายผู้ผลิต รวมทั้งการแนะนำรถรุ่นใหม่ของฮอนด้าทั้ง ฮอนด้า คลิกไอใหม่ และ ฮอนด้า พีซีเอ็กซ์ ยนตรกรรมหรูระดับโลกที่คนไทยรอคอยพร้อมเปิดตัวทั่วประเทศรับวันพ่อ 5 ธันวาคมนี้ และเตรียมจัดแสดงครั้งแรกในงานมอเตอร์เอ็กซ์โป ช่วงวันที่ 3-13 ธันวาคม นี้ที่อาคารชาเลนเจอร์ เมืองทองธานี มั่นใจสร้างความคึกคักตลาดโดยรวมช่วงสิ้นปี

นายธีระพัฒน์ จิวะพงศ์ กรรมการบริหารฝ่ายขาย บริษัท เอ.พี.ฮอนด้า จำกัด เปิดเผยว่า "รถจักรยานยนต์ประเภทรถแบบครอบครัว นับเป็นกลุ่มรถประเภทหลักของตลาดที่มีอัตราการเติบโตลดลงน้อยที่สุด สาเหตุหนึ่งคงเนื่องจากรถในกลุ่มประเภทนี้มีคุณสมบัติเด่นด้านความประหยัด สอดรับกับสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน และจากแนวโน้มของสภาพเศรษฐกิจที่ยังคงเติบโตลดลงในขณะนี้ จะเป็นปัจจัยที่ช่วยส่งเสริมให้รถประเภทนี้ได้รับความสนใจจากผู้บริโภคเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับการที่ค่ายผู้นำตลาดอย่างรถจักรยานยนต์ฮอนด้าที่มีจุดแข็งด้านรถครอบครัว ได้นำฮอนด้าในตระกูลเวฟเป็นเรือธงเข้าสู่ตลาดเพื่อเอาชนะใจผู้บริโภคจนมียอดจดทะเบียนขึ้นในอันดับหนึ่งมาตลอดตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะในเดือนตุลาคมนี้รถครอบครัวตระกูลเวฟระบบหัวฉีดในรุ่น Wave110i ก็ยึดครองความเป็นอันดับหนึ่งไปตามคาดการณ์ และจะเป็นโมเดลสำคัญที่จะช่วยผลักดันให้สัดส่วนตลาดของรถแบบครอบครัวมีการขยายตัวมากขึ้น ทั้งนี้หากวิเคราะห์ถึงเหตุผลของการตอบรับที่ดี ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการที่ผู้บริโภคเริ่มมีความมั่นใจ และมีความต้องการในรถจักรยานยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยระบบการจ่ายน้ำมันแบบหัวฉีด โดยพิจารณาได้จากยอดจดทะเบียนสะสมของรถระบบนี้ที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยปริมาณยอดจดทะเบียนของรถจักรยานยนต์ระบบจ่ายน้ำมันแบบหัวฉีดทั้งตลาดจากต้นปีที่มีเพียง 23% มาสู่ยอดตัวเลขเดือนตุลาคมนี้ที่ 47% ในขณะที่รถจักรยานยนต์ระบบหัวฉีดของทุกค่ายผู้ผลิตนั้นมีปริมาณยอดจดทะเบียนรวมกันอยู่ที่ 518,602 คัน"

สำหรับรายงานตลาดรถจักรยานยนต์ คิกออฟไตรมาสที่ 4 ของปีเดือนตุลาคม ด้วยปริมาณยอดจดทะเบียน 119,918 คัน โดยปริมาณยอดจดทะเบียนในเดือนนี้ประกอบด้วย รถจักรยานยนต์แบบครอบครัวที่ยังคงได้รับความนิยมสุงสุดเช่นเคย ด้วยปริมาณตัวเลข 59,550 คัน เทียบเท่าสัดส่วนตลาด 50% ในขณะที่รถแบบ เอ.ที มีปริมาณ 55,007 คัน เทียบเท่าสัดส่วนตลาด 46%, รถแบบครอบครัวกึ่งสปอร์ต 2,831 คัน เทียบเท่าสัดส่วนตลาด 2%, รถแบบสปอร์ต 881 คัน เทียบเท่าสัดส่วนตลาด 1% และรถประเภทอื่นๆ 1,649 คัน เทียบเท่าสัดส่วนตลาด 1% สำหรับปริมาณยอดจดทะเบียนสะสมตั้งแต่ต้นปี 2552 ถึงเดือนตุลาคมปีเดียวกันอยู่ที่ 1,257,919 คัน ลดลง 14% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา แม้ว่าสัดส่วนการเติบโตโดยรวมจะลดลง แต่เป็นการลดลงในภาวะชะลอตัวเฉกเช่นเดียวกับทิศทางของเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตามจากมาตรการการส่งเสริมการอุปโภคบริโภคของภาครัฐบาลและเอกชนที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่มีต่อภาพรวมเศรษฐกิจ ช่วยสนับสนุนให้รถครอบครัวสุดประหยัดรุ่น "ฮอนด้า เวฟ 110 ไอ" ครอบแชมป์ความเป็นอันดับ 1

ส่วนทางด้านรถจักรยานยนต์ประเภทครอบครัวในตระกูลฮอนด้าเวฟที่ได้รับความนิยมตลาดกาลสูงสุด เดือนตุลาคมมีปริมาณยอดจดทะเบียนเป็นอันดับหนึ่งของเดือนที่ 44,346 คัน โดยแยกเป็นรถจักรยานยนต์รุ่น "ฮอนด้าเวฟ 110 ไอ ที่ 26,715 คัน", "ฮอนด้า เวฟ 100 ที่ 9,911 คัน", "ฮอนด้าเวฟ 125 ไอ ที่ 3,632 คัน" และ "ฮอนด้าเวฟ ซี่รีย์อื่นๆ อย่าง R, S, X, และ Z ที่ 4,088 คัน"

ทั้งนี้ สำหรับเดือนแห่งการเริ่มต้นตลาดในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ นอกจากกระแสความนิยมของรถแบบครอบครัวอย่างฮอนด้าเวฟ 110 ไอ ที่ครองความเป็นอันดับหนึ่งแล้ว สำหรับรถจักรยานยนต์ในรุ่นอื่นๆ อย่างกระแสของรถแบบ เอ.ที อย่างรถรุ่นใหม่ "ฮอนด้า สกู๊ปปี้ ไอ" ที่เพิ่งทำการเปิดตัวไปเพียงหนึ่งเดือน ก็กระโดดก้าวขึ้นเป็นรถรุ่นใหม่ยอดนิยมที่ไต่อันดับขึ้นชาร์ตเป็น New Entry ของเดือนตุลาคมนี้ ตามกระแสความโด่งดังของรถรุ่นพี่อย่างฮอนด้า คลิก ที่สามารถดันยอดจำหน่ายสะสมที่มีมาตั้งแต่ปี 2006 ทะลุเกิน 1,000,000 คัน เป็นรถจักรยานยนต์แบบ เอ.ที. รายแรกของประเทศไทยที่ทุบสถิติดังกล่าวนี้ พร้อมด้วยการแนะนำ ฮอนด้า คลิก ไอ ลายใหม่ออกมาเขย่าความแรงของตลาดอย่างต่อเนื่อง นอกจากนั้น ค่ายผู้นำอย่างรถจักรยานยนต์ฮอนด้ายังเตรียมแผนการจำหน่ายรถจักรยานยนต์สุดยอดแห่งความภาคภูมิใจของชาวไทยกับยนตกรรมระดับเวิล์ดคลาส ที่ผสมผสานเทคโนโลยีสุดล้ำหน้ารุ่นใหม่ล่าสุดใน Honda PCX เป็นที่แรกของโลกในเดือนธันวาคม พร้อมทั้งเป็นครั้งแรกของรถจักรยานยนต์ที่จะขับขี่ความหรูหราเข้าอวดโฉมในงานมหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 26 (The 26th Thailand International Motor Expo 2009) ในวันที่ 3-13 ธันวาคม 2552 ที่จะถึงนี้

สำหรับรายละเอียดของยอดการจดทะเบียนสะสมตั้งแต่ต้นปีจนกระทั่งถึงสิ้นเดือนตุลาคม รถจักรยานยนต์ประเภทครอบครัวครองความเป็นรถยอดนิยมตลอดกาล ด้วยปริมาณยอดจดทะเบียนที่มากถึง 620,564 คันเทียบเท่าสัดส่วนตลาด 49% ในขณะที่ค่ายฮอนด้าที่เป็นผู้นำตลาดนั้น มีอัตราครองตลาดในกลุ่มรถประเภทนี้ถึง 84% ส่วนรถประเภทอื่นๆ มีรายละเอียดยอดการจดทะเบียนสะสมตั้งแต่ต้นปีจนถึงเดือนตุลาคม ดังนี้ คือ รถแบบ เอ.ที มีปริมาณ 585,659 คัน เทียบเท่าสัดส่วนตลาด 47%, รถแบบครอบครัวกึ่งสปอร์ต 30,768 คัน สัดส่วนตลาด 2%, รถแบบสปอร์ต 9,604 คัน สัดส่วนตลาด 1% และรถประเภทอื่นๆ 11,324 คัน สัดส่วนตลาด 1%

ในขณะที่หากแบ่งแยกเป็นยอดจดทะเบียนตามประเภทของผู้ผลิต รถจักรยานยนต์ฮอนด้า 826,269 คัน เทียบเท่าอัตราครองตลาด 66%, ยามาฮ่า 354,846 คัน อัตราครองตลาด 28%, ซูซูกิ 53,164 คัน อัตราครองตลาด 4%, คาวาซากิ 11,762 คัน อัตราครองตลาด 1%, เจอาร์ดี 1,436 คัน, แพล็ตตินั่ม 856 คัน, ไทเกอร์ 851 คัน และอื่นๆ 8,735 คัน

เพิ่มเติม http://www.aphonda.co.th/

ขับขี่ปลอดภัย มั่นใจซูซูกิ โครงการ 2

บริษัท เอส.พี.ซูซูกิ จำกัด (มหาชน) จัดกิจกรรม ขับขี่ปลอดภัย มั่นใจซูซูกิ โครงการ 2 ที่ศูนย์บริการหัวหมาก รังสิต และพุทธมณฑล ในระหว่างวันที่ 1 ธันวาคม 2552 ถึง 30 มกราคม 2553 เพื่อให้ลูกค้า ซูซูกิ นำรถจักรยานยนต์เข้ามาเช็คสภาพรถ และตรวจซ่อมช่วงเทศกาลปีใหม่ ซึ่งมีรายการเช็คฟรี 15 รายการ ลดค่า บริการ 50% อะไหล่ชุดลด 30% และอะไหล่ตกแต่งลด 25% เป็นของขวัญปีใหม่แก่ลูกค้า ซูซูกิ

รายการตรวจเช็ค ฟรี!! 15 รายการ

1. น้ำมันเครื่อง
2. ไส้กรองน้ำมันเครื่อง
3. ไส้กรองอากาศ
4. ผ้าเบรก หน้า / หลัง
5. ยางนอก หน้า / หลัง
6. ยางกันกระชาก
7. โซ่สเตอร์ชุด / สานพาน
8. แบตเตอร์รี่ 9. แตร
10. ซีลคันสตาร์ท / คันเกียร์
11. ซีลโช้คหน้า
12. เช็คระบบบังคับเลี้ยว
13. เช็คระบบไฟฟ้า
14. สายคันเร่ง / สายคลัชต์
15. ระบบรับน้ำหนัก


เพิ่มเติม http://www.spsuzuki.com/

“ยามาฮ่า” จับมือ “ไอน์สไตน์” ส่ง season five เปิดตัวแคมเปญ “Everyday is SunDay with FINO”


ยามาฮ่า ฟีโน่” ผู้นำตลาดรถจักรยานยนต์ออโตเมติก เตรียมเดินหน้าสานต่อกลยุทธ์ Lifestyle Marketing ผ่านแนวทาง Music Marketing ชูศิลปินกลุ่มหน้าใหม่ season five ที่จะช่วยสร้างความแตกต่างให้กับวงการเพลงด้วยสไตล์การร้องแบบ Hybrid A cappella และมอบความพิเศษแบบแตกต่างในรูปแบบเอ็กซ์คลูซีฟ โรดโชว์ให้กับลูกค้า ฟีโน่ 5 จังหวัด 5 ภูมิภาค

บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด ผู้นำตลาดรถจักรยานยนต์ออโตเมติก ยามาฮ่า ฟีโน่ เตรียมต่อยอดความสำเร็จของแคมเปญ “เปิดประสบการณ์ใหม่กับ ยามาฮ่า ฟีโน่” ด้วยการเปิดแนวรุก Music Marketing ที่มีการจับมือกับกลุ่มธุรกิจสื่อสารและบันเทิงใหม่ ไอน์สไตน์ บาย แม็ทชิ่ง กรุ๊ป ซึ่งเป็นยูนิตหนึ่งของ บริษัท แม็ทชิ่ง เอนเตอร์เทนเมนต์ จำกัด ในการจัดแคมเปญพิเศษเพื่อตอบแทนลูกค้าฟีโน่ “Everyday is SunDay with FINO”


คุณสรวงสุดา มนัสบุญเพิ่มพูล ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายสื่อสารการตลาด บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด เปิดเผยว่า ที่ผ่านมายามาฮ่าได้มีการมอบแคมเปญพิเศษให้กับลูกค้าฟีโน่มาอย่างต่อเนื่อง และล่าสุดบริษัทฯ เตรียมกระตุ้นตลาดอีกครั้งด้วยการจัดแคมเปญตัวใหม่ เพื่อมอบประสบการณ์พิเศษกว่าครั้งที่ผ่านมา ให้กับลูกค้าฟีโน่ในชื่อแคมเปญ “Everyday is SunDay with FINO” ที่จะเริ่มตั้งแต่ธันวาคม 2552 – มีนาคม 2553

กิจกรรมดังกล่าว “ยามาฮ่า” ได้จับมือกับ “ไอน์สไตน์” เพื่อนำศิลปิน season five ที่มีความแตกต่างจากศิลปินกลุ่มทั่วไป มีคาแลกเตอร์ที่ดูสนุกสนาน เป็นกันเอง เหมาะกับกลุ่มลูกค้าวัยรุ่น ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าของ ฟีโน่ นอกจากนี้ยังมีแนวเพลงที่นำเสนอออกมาเป็น แบบ Hybrid A cappella หรือ การร้องเพลงในแบบประสานเสียงแนวใหม่ ที่ทันสมัยสามารถผสมผสานดนตรีได้ทุกแนว มีความสามารถในการร้องสดได้อย่างน่าประทับใจ และมีเพลงที่คุ้นหูติดชาร์ท ท็อปเท็น คลื่นวิทยุ และ สถานีเพลง ( Music Channel ) แล้ว อาทิ แค่ตัวเลือก และ รักคนไม่มีตัวตน ซึ่ง season five มีสมาชิกทั้งหมด 4 คนประกอบไปด้วย เปา- บวร อัจฉรารัตนโสภณ (โทนเสียง Bass),เจ-เอกพล สถิรากร (โทนเสียง Tenor),เอก- สุดเขต จึงเจริญ (โทนเสียง Tenor) และ จั๊ก- สิโรดม หล่อกัณภัย (โทนเสียง Baritone)

นอกจากความแตกต่างในแนวเพลงที่นำเสนอออกมาแล้ว ศิลปินกลุ่ม season five ยังมีเพลงในอัลบั้ม seasons of life ของพวกเขา ที่มีเนื้อหาเหมาะสมและตรงกับกิจกรรมที่จะจัดขึ้น โดยมีเพลง Everyday is SunDay โดยเนื้อหาของเพลง ได้กล่าวถึง การท่องเที่ยว การมองโลกในแง่บวก การทำทุกวันให้เหมือนวันอาทิตย์ โดยที่ทุกคนสามารถมีความสุขกันได้ทุกวัน เพลงที่ยามาฮ่าได้เลือกมาเป็นเพลงธีมหลักเพื่อช่วยสื่อให้กิจกรรมดังกล่าวประสบความสำเร็จ ซึ่งเพลงจะถูกนำมาทำการตลาดแบบครบวงจร ตั้งแต่การนำเพลงมาสร้างเป็นมิวสิกวีดีโอ โดยมีศิลปินทั้ง 4 คนมาร่วมแสดง และแม่เหล็กในแคมเปญ ให้เห็นภาพของการขับขี่ฟีโน่ ในสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ ต่างๆ และจะมีการสื่อสารให้กับลูกค้าได้รับรู้ผ่านฟรีทีวี , เคเบิลทีวี และ วิทยุ

คุณสรวงสุดา กล่าวว่า นอกจากนี้ ยามาฮ่าและไอน์สไตน์ ยังนำศิลปินกลุ่มนี้เข้ามามอบความพิเศษให้กับลูกค้าฟีโน่ ด้วยการร่วมขบวนโรดโชว์ใน 5 จังหวัด 5 ภูมิภาค เพื่อมอบความสุขผ่านเสียงเพลงในรูปแบบของคอนเสิร์ตแบบเอ็กซ์คลูซีฟ และวีไอพี ที่จะมีเพียงสมาชิกครอบครัวฟีโน่ที่โชคดีเพียง 200 คน ที่จะได้เข้าร่วมสัมผัสประสบการณ์ที่แตกต่างและจะสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าฟีโน่

โดยกิจกรรม “Everyday is SunDay with FINO” จะเริ่มดีเดย์ในวันที่ 1 ธันวาคม 2552 และจะเริ่มโรดโชว์ไปในภูมิภาคต่างๆเริ่มตั้งแต่ 24 - 26 ธันวาคม 2552 ที่จังหวัดเชียงใหม่ ในงาน “แอ่วเชียงใหม่ สไตล์ ฟีโน่” ลูกค้าฟีโน่ในจังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดใกล้เคียงสามารถติดตามรายละเอียดได้ที่ เว็ปไซด์ยามาฮ่า และยามาฮ่า สแควร์ใกล้บ้าน นอกจากนั้นแล้วยังสามารถร่วมสนุกชิงบัตรเข้าชมคอนเสิร์ตแบบเอ็กซคลูซีฟครั้งนี้ได้ที่สถาบันการศึกษา, รายการวิทยุท้องถิ่นคลื่นต่างๆที่จะมีศิลปินมาร่วมสัมภาษณ์และร่วมแจกบัตรให้กับลูกค้าฟีโน่ผู้โชคดีอย่างใกล้ชิด

“เราต้องการตอบแทนลูกค้าฟีโน่ที่ให้การสนับสนุนกันมาโดยตลอด ซึ่งการได้ศิลปินที่มีความสามารถในการร้องเพลงสดๆ และการแสดงที่มีความใกล้ชิดกับผู้ชม จะทำให้ลูกค้าเกิดความประทับใจกับประสบการณ์ที่แปลกใหม่ในครั้งนี้ นอกจากนั้นแล้วลูกค้ายังจะได้รับแพคเกจที่พักซึ่งเป็นสถานที่จัดงาน คาดว่าหลังจากปล่อยแคมเปญนี้ออกไป จะได้รับการตอบรับจากลูกค้าฟีโน่ทุกคนและมีโอกาสในการเพิ่มฐานลูกค้าใหม่ไปในตัว”

สำหรับกิจกรรมที่จะจัดขึ้นในรูปแบบของโรดโชว์ 5 จังหวัด 5 ภูมิภาคในครั้งนี้ ถือเป็นกิจกรรมที่ลูกค้าฟีโน่ทั้งเก่าและใหม่ สามารถที่จะจับต้องได้ และเกิดความประทับใจ เรียกได้ว่าได้ใจลูกค้าเก่า และเตรียมอ้าแขนต้อนรับลูกค้าใหม่เข้ามาสู่ครอบครัวฟีโน่ในอนาคตอันใกล้ได้เลย อีกทั้งยังเป็นการตอกย้ำให้เห็นถึงภาพลักษณ์ของ FINO ซึ่งครองตำแหน่งรถจักรยานยนต์ระบบออโตเมติกที่มียอดขายเป็นอันดับ 1 ของเมืองไทย ที่มีรูปแบบการตลาดที่แตกต่าง ไม่เหมือนใคร และสามารถตอบสนองทุกความต้องการของลูกค้าได้อย่างครบครัน และคาดหวังว่ากิจกรรมนี้จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นของผู้ใช้ทุกท่านที่มีต่อรถจักรยานยนต์ FINO ว่า ไม่ใช่แค่มอเตอร์ไซค์ FINO แต่สิ่งที่เรามอบให้นคือ Lifestyle แบบ FINO จริงๆ และสิ่งนี้เราได้ทำมาตลอด ซึ่งยืนยันได้จากกิจกรรมที่ผ่านมา ภายใต้ สโลแกน “FINO ของเรา กับประสบการณ์ใหม่ไม่รู้จบ”

ลูกค้าฟีโน่ที่ต้องการร่วมเปิดประสบการณ์ใหม่ที่แตกต่าง ผ่านกิจกรรม “Everyday is SunDay with FINO” ที่ยังเหลืออีก 4 จังหวัด สามารถติดตามข้อมูลได้ที่ยามาฮ่า คอลเซ็นเตอร์ 0-2263-9999 0-2263-9999 หรือ www.yamaha-motor.co.th

เพิ่มเติม http://www.yamaha-motor.co.th

โครงการประกันภัยสำหรับลูกค้ารถยามาฮ่าฟีโน่


ยามาฮ่าขอตอบแทน ความรู้สึกดีๆ ให้กับชาวฟีโน่ ด้วยการประกันอุบัติเหตุให้ฟรี 1 ปี วงเงิน 100,000 บาท สำหรับลูกค้าฟีโน่ทุกคัน เพียงลงทะเบียนรับสิทธิ์ที่ร้านผู้จำหน่ายยามาฮ่าทุกแห่ง ภายใน 31 ธ.ค. นี้

เงื่อนไขรายการส่งเสริมการขาย

• ลูกค้ายามาฮ่าฟีโน่ทุกคนสามารถติดต่อรับสิทธิ์การเข้าร่วมโครงการประกันอุบัติเหตุที่ร้านผู้จำหน่ายรถจักรยานยนต์ยามาฮ่าทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1– 31 ธันวาคม 2552
• รายละเอียดการประกันภัย
» ระยะเวลาคุ้มครอง 1 ปี นับจากวันที่ลงทะเบียน
» คุ้มครองวงเงิน 100,000 บาท จากกรณีเสียชีวิตหรือทุพพลภาพจากอุบัติเหตุ ตลอด 24 ชั่วโมง
(โปรดศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมจากกรรมธรรม์)
» ผู้เอาประกันต้องมีอายุระหว่าง 15 – 60 ปี โดยจะเป็นผู้ครอบครองหรือผู้ใช้รถจักรยานยนต์
ยามาฮ่าฟีโน่ กรณีใดกรณีหนึ่ง
» บริษัทประกันภัยจะส่งเอกสารรับรองการประกันภัย ตามที่อยู่ที่กรอกในเอกสาร ภายใน 15 วัน
• 1 หมายเลขเครื่องสามารถยืนยันรับสิทธิ์ได้เพียง 1 สิทธิ์ เท่านั้น
• ผู้ที่ลงทะเบียนรับสิทธิ์ จะต้องนำสำเนาบัตรประชาชนของผู้เอาประกัน พร้อมเอกสารยืนยันการครอบครองรถ เช่นสำเนาทะเบียนรถ หรือใบเสร็จชำระค่างวดรถจักรยานยนต์เดือนล่าสุด มายืนยันการรับสิทธิ์ที่ร้านผู้จำหน่ายรถจักรยานยนต์ยามาฮ่า
• ผู้รับสิทธิ์ต้องเป็นบุคคลที่มีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศไทยเท่านั้น
• สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Yamaha Call Center : 02-263-9999 02-263-9999 หรือ www.yamaha-motor.co.th

ข่าวที่เกี่ยวข้อง